นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยถึงประเด็นการเลือกตั้งว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ในปี 2561 กรณีคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 เรื่องการแก้ไขพ.ร.บ.ว่าด้วย พรรคการเมือง หรือการเซ็ทซีโร่สมาชิกพรรคการเมือง และการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ออกมาสัญญาว่าปี 2561 จะเป็นปีที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นประชาธิปไตย

เมื่อถูกถามว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นคนการเมืองด้วยกัน เราก็ยังหวังว่าถ้าดูตามโรดแม็ปแล้ว มันควรจะต้องเกิดการเลือกตั้งขึ้น ต้องมองในแง่ดีไว้ก่อน ในฐานะที่เป็นผู้บริหารองค์กร และหน่วยงานต่างๆ มาก่อน คำพูดของผู้นำต้องเป็นที่เชื่อถือได้ เพราะฉนั้นเราก็ต้องยึดถือตามไทม์ไลน์ ที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ อย่าพึ่งไปกดดันหรือพูดในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบทำงานไปก่อนดีกว่า ถ้าท่านผู้นำพูดแล้วว่าจะเกิดการเลือกตั้งขึ้น เราก็ต้องมั่นใจ ถ้าไปคิดอย่างอื่นมันก็จะทำให้เกิดความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ การจะเลื่อนเข้าเลื่อนออกในเวลาที่รับได้ เราก็ต้องมีความยืดหยุ่นระดับหนึ่ง โดยส่วนตัวแล้วไม่กังวล

เมื่อถูกถามว่าการประกาศการเลือกตั้งถูกเลื่อนมาหลายครั้งแล้ว และปีนี้มีท่าทีว่าจะถูกเลื่อนออกไปอีก นายอนุทินกล่าวว่า ก็ต้องถือว่ามันมีเหตุการณ์อะไรในช่วงปี 2559 – 2560 ที่พวกเราทุกคนไม่ต้องการให้เกิด และก็มีเหตุการณ์ความสำคัญในบ้านเมืองที่จะต้องเกิดขึ้น นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ประชาชนชาวไทยทุกคนต้องรับได้ โดยส่วนตัวแล้วก็ยังไม่ได้รับการยืนยันแต่อย่างใดจากผู้มีอำนาจว่า การเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้น

“โดยส่วนตัวแล้ว ก็เชื่อมั่นในเรื่องการปรองดอง ประณีประนอม หลายคนก็อาจจะมองว่า ถ้าเป็นคนประณีประนอม ก็เหมือนกับจะเป็นคนที่ไม่มีจุดยืน อะไรก็ได้ แต่ตนคิดว่าทุกอย่างมันจะต้องจบด้วยการประณีประนอม ความเข้าใจกัน ความปรองดอง” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรกับคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 เรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วย พรรคการเมือง หรือการเซ็ทซีโร่สมาชิกพรรคการเมือง และมีผลกระทบต่อพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าตอบตรงๆ ไม่มี แต่ละพรรคก็จะไม่เหมือนกัน ตนก็เห็นหัวหน้าพรรคต่างๆ บางท่านก็บอกว่ามีผลกระทบ บ้างก็บอกว่าพอไปได้ แต่ในพรรคภูมิใจไทยที่ตนบริหารอยู่นั้น ตนก็ไม่เห็นว่าผู้บริหารหรือสมาชิกของพรรค แสดงความคิดเห็นไม่ดีหรือคัดค้านว่าจะเป็นอุปสรรคทางการเมืองในอนาคต ในเรื่องต่างๆ ที่บัญญัติไว้ในมาตรา เท่าที่ได้อ่านคร่าวๆ ก็ยังไม่มีอะไรที่ต้องวิตกกังวลจนเกินเหตุ ทุกอย่างถ้ามีปัญหาก็แก้ไขได้ เพราะคงไม่มีใครออกกฎเกณฑ์ผ่านคำสั่งใด ที่จะสามารถทำลายล้างองกรณ์พรรคใหญ่ๆ ได้ ส่วนในเรื่องของการที่คำสั่งเปิดทางให้นักการเมืองย้ายพรรคได้นั้น ตนคิดว่าไม่จำเป็นที่จะย้ายเพราะมีคำสั่งนี้ นักการเมืองย้ายพรรคกันตลอดเวลาอยู่แล้วในทุกสมัย

ต่อมาเมื่อถูกถามว่า สังคมวันนี้ยังไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวนักการเมืองอยู่หรือไม่ นายอนุทินให้ความเห็นว่า คำว่าเชื่อมั่นหรือไม่เราดูจากสื่อ คนที่ไม่ชอบนักการเมือง ก็จะบอกว่านักการเมืองไม่ดี ทำความเสียหายให้กับบ้านเมือง ตนก็ไม่เห็นด้วย เพราะถ้านับจากเวลาที่ประเทศไทยปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ 2475 ที่ผ่านมา คนการเมืองก็ยังอยู่ในวงจรการบริหารประเทศ มากกว่าคนที่อยู่นอกระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยก็ยังรุดหน้าเจริญรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งแสดงว่านักการเมืองก็คงไม่ได้ทำลายประเทศจนย่อยยับ ยังสามารถยืนอยู่ในปัจจุบันนี้ได้

“อยากให้เกิดความมั่นใจนะครับว่า ถ้าบอกทุกอย่างแย่ การเมืองไม่แข็งแรง การเมืองทำลายบ้านเมือง ตั้งแต่ปฏิวัติ 2549 จนถึงปัจจุบันก็จะ 12 ปี ประเทศไทยก็ยังอยู่ได้ ก็ยังไม่มีปัญหารุนแรงถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาด สุดท้ายก็ยังมีบทสรุปที่ดีมาทุกๆ ครั้ง เราทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันไม่ได้ แต่ผมยังเชื่อว่า สุดท้ายทุกคนก็ยังยึดเอาบ้านเมืองเป็นหลัก และก็พร้อมที่จะให้โอกาส ให้ความเป็นปึกแผ่น บ้านเมืองที่แข็งแรง ความสงบสุข ความสามัคคดีเกิดขึ้น” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามว่าให้ความหมายอย่างไรกับ คำพูดของ พลเอกประยุทธ์ ที่บอกว่าจะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ไปสู่การมีประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาล ตนคิดว่าน่าจะหมายถึงมีการเลือกตั้ง ภายใต้กฎกติกาที่ดีงาม ธรรมาภิบาลก็คือผู้คนทุกคนในสังคมอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์เดียวกัน

“คณะ คสช. เอง ผมฟังดูท่านก็อยากจะเลือกตั้ง ใจจะขาดอยู่แล้วเหมือนกันนะครับ แล้วก็สนับสนุนให้กำลังใจคนที่ทำงานรับผิดชอบบ้านเมืองในปัจจุบันนี้ ทำภารกิจของเขาให้สำเร็จ เพราะถ้า คสช. ไม่อยากเลือกตั้ง เค้าก็คงประกาศไปแล้วว่าไม่มีการเลือกตั้งจะอยู่ต่อไปอีก 5 ปี ก็ไม่เห็น คสช. จะประกาศ” นายอนุทินกล่าว

บทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม