ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา นายสุวัจน์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า จากนี้ไปจนถึงวันที่ 24 มี.ค.62 การเมืองเริ่มเข้มข้น และ คาดการณ์ยากมากว่าแต่ละพรรคจะได้กี่นั่ง เพราะมีตัวแปรด้านคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ 7- 8 ล้านคนเข้ามาเป็นตัวแปร เพราะคนรุ่นใหม่ตื่นตัวทางการเมืองสูงมากจากกระแสปฏิรูปการเมือง และ การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและเทคโนโลยี จึงทำให้ย้อนคิดถึงการเลือกตั้งสมัยก่อนที่ตนเคยแข่งขันเลือกตั้งกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี
ขณะนั้นตนได้รับเลือกตั้ง แต่เป็นฝ่ายค้านในฐานะคนรุ่นใหม่ แต่พล.อ.ชาติชาย เป็นนายกรัฐมนตรี ฝ่ายรัฐบาล ยังให้โอกาสและให้เกียรติตนเข้ามาร่วมงานและส่งเสริมคนรุ่นใหม่ แม้ว่าตนและพล.อ.ชาติชาย สังกัดกันคนละพรรค แต่กลับได้รับการสนับสนุนจนได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วย การเมืองในยุคนั้น พล.อ.ชาติชาย กล่าวเสมอว่า ก่อนเลือกตั้งเรียกว่าการเมือง แต่หลังเลือกตั้งเรียกว่า บ้านเมือง
“ก่อนเลือกตั้งเรียกว่าการเมือง เพราะต้องสู้กันให้เต็มที่ แต่พอจบเลือกตั้ง นักการเมืองต้องคุยกัน จึงเรียกว่า บ้านเมือง เพราะทุกฝ่ายต้องช่วยกันคุยกัน ดังนั้นการเมืองในวันนี้ต้องใช้หลักข้อนี้ คือ ก่อนเลือกตั้งสู้กันให้เต็มที่ แต่หลังเลือกตั้งต้องคิดถึงบ้านเมือง แม้ว่าฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกฝ่ายเป็นฝ่ายค้าน แต่ต้องคุยกันเพื่อบ้านเมือง” นายสุวัจน์ กล่าว