“นับแต่สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง พอก้าวสู่ฤดูฝนคราใดทำให้เกิดความห่วงใยว่าชาวบ้านพื้นที่ไหนจะประสบ อุทกภัย วาตภัย ที่รุนแรงเหมือนทุกปีที่ผ่านมาบ้าง?“

ปีนี้เพียงแค่เริ่มต้นฤดูฝน ชาวบ้าน จ.น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย เจอน้ำป่าถล่มเสียหายยับเยินกันมาแล้วรอบหนึ่ง และมีแนวโน้มว่าจะเกิดเหตุอีกรอบ รวมถึงจังหวัดอื่นของภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ นอกจากภัยธรรมชาติจากน้ำท่วม พายุถล่มแล้ว ยังมีภัยที่ชาวบ้านอาจจะต้องเจอภัยจากแผ่นดินไหวที่เริ่มเขย่าถี่ขึ้น มีทั้งรับรู้ได้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่ถ้าเขย่าบ่อยๆ อาจจะกลายเป็นภัยที่ร้ายแรงแบบคาดไม่ถึงก็เป็นได้
ที่ “จอมมารน้อย” เขียนถึงประเด็นภัยธรรมชาติ นอกจากจะแจ้งให้ผู้อ่านได้พึงระวังป้องกันแล้ว ต้องการสื่อสารไปถึงรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมพร้อมที่รับมือไว้แค่ไหน เพราะที่ผ่านมาพอเกิดภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ตึกถล่ม หรือเพลิงไหม้ใหญ่ๆ ภาพที่เห็นจนชินตาคือมูลนิธิ และภาคเอกชนองค์กรต่างๆ ลุยเข้าช่วยผู้ประสบภัยแบบที่หน่วยงานรัฐก้าวช้ากว่าหลายก้าวเสมอ ทั้งที่มีงบประมาณ เครื่องมือ และบุคลากรพร้อมมากกว่า
ทั้งที่แต่ละจังหวัดสามารถดำเนินการเข้าช่วยเหลือได้เลย เพราะมีหน่วยงานรองรับ ทั้งบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล และเทศบาล ล้วนมีงบประมาณ อุปกรณ์ และบุคลากรพร้อม ถ้าจังหวัดไหนมีค่ายทหาร ค่ายตำรวจตระเวนชายแดนตั้งอยู่ด้วย ยิ่งเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือได้มากขึ้น
ครั้นมามองถึงภัยที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะภัยจากอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ หรือภัยจากโรคร้าย หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องพึ่งพาได้น้อยมาก ยกตัวอย่างเกิดคดีเด็กถูกทำร้าย หรือผู้หญิงถูกข่มขืน แจ้งความแล้วคดีไม่คืบ เหยื่อจะไปร้องมูลนิธิต่างๆ รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ ให้ช่วยเหลือ ถึงได้เห็นความคืบหน้าของคดี เพราะเจ้าหน้าที่รัฐจะตอบสนองเป็นอย่างดี
หรือกรณีชาวบ้านติดเชื้อเอดส์ในยุคแรกๆ ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายไม่สามารถพึ่งพาหน่วยงานรัฐได้ หันไปพึ่งพาวัด ทางวัดต้องเรี่ยไรเงินมาใช้ในการรักษาเลี้ยงดูจนวาระสุดท้ายของชีวิต ด้วยเงินเรี่ยไรมีจำนวนมากทำให้ผู้เกี่ยวข้องเกิดความโลภ กลายช่องว่างกอบโกยผลประโยชน์สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองและบริวาร จนเป็นข่าวฉาวโฉ่สะเทือนศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
จากจุดเริ่มต้นที่เกิดจากจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือส่วนรวม จนสร้างชื่อเสียงและความเชื่อถือจากประชาชน ส่งผลให้มูลนิธิหลายแห่งรวมถึงอินฟลูเอนเซอร์หลายคน ใช้ช่องว่างและเหตุการณ์ต่างๆ เปิดรับบริจาคทรัพย์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านต่างๆ บางมูลนิธิหรืออินฟลูเอนเซอร์บางคนนำเงินหรือทรัพย์ที่ได้รับบริจาคส่งถึงมือผู้ประสบภัยแบบเต็มร้อย
บางมูลนิธิ องค์กรเอกชนบางแห่ง และอินฟลูเอนเซอร์บางคน นำเงินหรือทรัพย์ที่ได้รับบริจาคไปใช้ในลักษณะวัดครึ่งกรรมการครึ่ง หรือหักหัวคิว 30 เปอร์เซ็นต์ ส่งมูลนิธิหรือวัด 70 เปอร์เซ็นต์ อ้างว่าเป็นค่าดำเนินการ ปรากฏการณ์นี้ลักษณะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ด้วยการใช้จุดอ่อนความขี้สงสารของคนไทยเป็นเครื่องมือสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิไหนหรืออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังคนไหนที่เปิดรับบริจาคเงินแล้ว พอจบโครงการแล้วแทบจะไม่ออกมาแถลงตัวเลขจริงให้กับสังคมได้รับรู้บ้างเลยว่ายอดเงินบริจาคเท่าไหร่ ใช้จริงไปเท่าไหร่ และเงินเหลืออยู่ในบัญชีจำนวนเท่าใด
ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ถ้ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัย รวมถึงผู้กุมอำนาจทั้งหลายที่สามารถสั่งการหน่วยงานราชการได้ บริหารจัดการอย่างมีคุณภาพและใช้งบประมาณอย่างเต็มประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชนที่ประสบภัยแบบทันท่วงที แบบที่ชาวบ้านไม่ต้องตะโกนขอความช่วยเหลือผ่านสื่อมวลชนหรือพวกอินฟลูเอนเซอร์
ดังนั้นเพื่ออุดช่องว่างไม่ให้บรรดามูลนิธิต่าง ภาคเอกชนต่างๆ รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ที่มีจิตทุจริตแจ้งเกิดด้วยการใช้ความทุกข์ยากของชาวบ้านมาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน รัฐบาลต้องเร่งยกเครื่องการทำงานของข้าราชการทั้งระบบโดยเร็ว จัดการกับข้าราชการเกียร์ว่างแบบเฉียบขาด ตอบแทนข้าราชการที่มุ่งมั่นการทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างสมน้ำสมเนื้อ
ถ้าทำได้จริง มูลนิธิหลายแห่งอาจจะร้าง และอินฟลูเอนเซอร์หลายคนจะหมดหนทางหากินกับความทุกข์ของประชาชนแน่นอน!!!


