“รองเต่า” เปิดเกมร้อง “ภูมิธรรม” โวยแต่งตั้งไม่เป็นธรรม ไร้ชื่อติดโผ ชี้ส่อวืดเหตุ “กม.-กฎ ก.ตร.” บังคับเข้ม

1232

บรรยากาศการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) – ผู้บังคับการ (ผบก.) ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรักษาการนายกรัฐมนตรี นัดประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ มีสีสันขึ้นมาทันที เมื่อ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ร่อนหนังสือถึงนายภูมิธรรม ว่าการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม

ซึ่งบรรยากาศลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสำนักปทุมวันมาหลายปีแล้ว ยิ่งกฎหมายตำรวจ 2565 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ 2567 บังคับใช้เต็มรูปแบบ การแต่งตั้งระดับนายพลตำรวจแทบจะไร้เสียงโวยวายว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

หนังสือร้องเรียนของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ตอนหนึ่งระบุว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ละเลยคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถ ตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งกลับไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทั้งที่หลักเกณฑ์มุ่งหวังให้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้สามารถพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท และเสียสละ ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการเต็มกำลังความสามารถ…

ซึ่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ รับว่าได้ส่งหนังสือร้องเรียนไปถึงนายภูมิธรรมจริง เพราะมองว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งที่มีผลงานจับกุมคดีสำคัญระดับประเทศหลายคดี แต่กลับไม่ได้รับการพิจารณา

ขณะที่นายภูมิธรรม บอกว่าได้รับเรื่องไว้เพื่อส่งให้ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องได้พิจารณาและต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง ถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องพยายามคืนความเป็นธรรมให้ แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ต้องชี้แจงให้ท่านทราบ

พลันที่หนังสือแพร่ออกไปตามสื่อกระแสหลักและสื่อโซเชียล เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างว่าทำไม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ไม่ได้รับการแต่งตั้งขยับเป็น ผบช. ทั้งที่มีผลงานสางคดีดังๆ ระดับประเทศหลายคดี

บางกระแสมองว่าควรจะยึดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งแบบเคร่งครัด เพราะระบบการแต่งตั้งตำรวจเละเทะมานาน โดยเฉพาะยุคเผด็จการทหารนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครองเมือง กฎกติกามีไว้แหกและยกเว้นกับพวกใกล้ชิดขั้วอำนาจได้ขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นแบบเหาะเสียบยอด

แต่เมื่อกฎหมายตำรวจ 2565 ออกมาบังคับใช้ช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใกล้หมดอำนาจ เนื้อหากฎหมายบัญญัติไว้อย่างรัดกุม โดยเฉพาะหมวดแต่งตั้งโยกย้าย บัญญัติขั้นตอนและคุณสมบัติไว้ค่อนข้างละเอียด แถมมีบทลงโทษผู้มีอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งไว้ด้วย รวมถึงเปิดช่องให้ตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมร้องเรียนคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ซึ่งคำวินิจฉัยเทียบเท่าคำวินิจฉัยศาลปกครองชั้นต้น

เมื่อผนวกรวมกับกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งตำรวจ 2567 เพิ่มความเข้มงวด จนผู้เกี่ยวข้องและผู้มีอำนาจในการแต่งตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ผบ.ตร. และ ก.ตร. ไม่กล้าขยับที่จะแหกกฎ

กรณี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ หากเกิดในยุคเผด็จการทหาร หรือยุคก่อนหน้าที่กฎหมายตำรวจเกี่ยวกับแต่งตั้งหละหลวม ก.ตร. มีหน้าที่แค่ตรายางประทับความถูกต้องให้กับผู้มีอำนาจ เชื่อว่าจะได้ขยับติดยศ พล.ต.ท. อย่างแน่นอน แม้อาวุโสจะรั้งท้าย

แต่มายุคนี้การแต่งตั้งโยกย้ายยึดกฎกติกาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะหลักอาวุโสที่ถูกละเลยมานาน เสมือนเป็นหนามตำใจตำรวจในอดีตที่มีผลงานแถมมีอาวุโส แต่พลาดโอกาสจะขยับตำแหน่งที่สูงขึ้น ซึ่งนายพลสีกากีหลายนายเคยลิ้มลองรสชาติอันขมขื่นนี้ให้เห็นมาแล้ว

ดังนั้น การเคลื่อนไหวของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ครั้งนี้ ถ้าประชาชนทั่วไปอาจมองว่าถูกต้องที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง เพราะมีผลงานสำคัญๆ ระดับประเทศ แต่ถ้ามองจากแวดวงสีกากีจะเป็นในทำนองว่ากำลังใช้กระแสสังคมกดดันให้ผู้มีอำนาจพิจารณาเลื่อนตำแหน่งให้ และบางคนอาจจะมองในทางร้ายว่ากำลังเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาล้วงลูกเหมือนอดีตที่ผ่านมาได้อีก

หากผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ผบ.ตร. และ ก.ตร. ไม่กล้าฝืนกระแส ยอมพิจารณาให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ นั่ง ผบช. ผลเสียจะตกแก่องค์กรตำรวจแบบเต็มๆ เพราะนับแต่กฎหมายตำรวจและกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งฯ บังคับใช้เต็มรูปแบบ ตำรวจเกือบทั้งองค์กรต่างยอมรับการแต่งตั้งโยกย้ายตามกฎกติกามาโดยตลอด และที่สำคัญผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ตั้งแต่กรรมการคัดเลือกระดับ บช. คณะกรรมการกลั่นกรอง ตร. นายกฯ และ ก.ตร. มีโอกาสที่จะถูกรอง ผบช. ที่มีคุณสมบัติครบและอาวุโสกว่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ที่อาวุโสรั้งท้าย ฟ้องดำเนินคดีหรือร้องผ่าน ก.พ.ค.ตร. อย่างแน่นอน

“ประดูแดง” ขอทำนายว่าการขยับของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายคงไม่มีใครอยากขึ้นศาลหลังเกษียณอายุหรือหลังหมดวาระในตำแหน่ง ก.ตร.!!!