“ลิณธิภรณ์” ห่วงกรณีเด็กทำร้ายครู ชี้ต้องทบทวนระบบการสอบวัดผล-การดูแลสุขภาพจิตเด็กใน รร. หลังพบยอดซึมเศร้า-ฆ่าตัวตายพุ่งสูง

1280

กรุงเทพฯ วันที่ 12 ส.ค. – ดร.หญิง ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึง กรณีเหตุการณ์นักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุทัยธานี ใช้ความรุนแรงต่อครูผู้สอน ว่า ความรุนแรงต่อบุคลากรทางการศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในทุกกรณี ขอแสดงความห่วงใยไปยังทั้งคุณครูผู้เสียหาย และนักเรียนที่เกี่ยวข้อง พร้อมเน้นย้ำว่าการแก้ไขปัญหานี้ระเมินผลไม่ใช่การชี้ว่าฝ่ายใดผิดแล้วลงโทษ แต่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้านว่าพฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากสาเหตุใด

รมช.ศธ.กล่าวว่า กระทรวงจะประสานให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยละเอียด เพื่อค้นหาสาเหตุเชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นภาวะความเครียด ความกดดันจากผลการเรียน หรือภาวะอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางระบบประสาท ทั้งนี้ตนเห็นว่าจำเป็นต้องมีนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลนักเรียนโดยเร็ว เพื่อป้องกันผลกระทบทางจิตใจต่อครู นักเรียน และผู้ปกครอง ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนโจทย์สำคัญที่อาจต้องนำมาพิจารณาต้องทบทวน ได้แก่ 1. ระบบการสอบและการวัดประเมินผล หากระบบการเรียนการสอนสร้างแรงกดดันจนทำให้เด็กใช้ความรุนแรง แสดงว่าเราจำเป็นต้องทบทวนว่ากำลังสร้างทรัพยากรมนุษย์แบบใดสู่สังคม การวัดประเมิน ทดสอบแบบ one’s size fit all ใช้ไม้บรรทัดเดียวกับเด็กทุกคน การเอาปลาไปแข่งปีนต้นไม้ เอานกไปว่ายน้ำอาจจะต้องเปลี่ยน

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า 2. การดูแลสุขภาพจิตของนักเรียน ระบบการศึกษาของเราอาจยังละเลยเรื่องนี้อย่างมาก นักเรียนบางคนใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น บางคนใช้ความรุนแรงกับตนเอง ซึ่งสะท้อนการขาดทักษะในการรับรู้และจัดการอารมณ์ของตนเอง จนสะท้อนตัวเลขอย่างชัดเจนโดยกรมสุขภาพจิตที่พบว่าเด็ก และเยาวชนมีสภาวะซึมเซา และวิตกกังวลเพิ่มสูงขึ้น และการฆ่าตัวตายเป็นสาหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 3 ในสาเหตุการตายของเด็กและเยาวชน ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับนักเรียน ครูบางคนก็ประสบเช่นเดียวกัน เราจึงเห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากครูไม่น้อย เราควรทำให้การสร้างทักษะด้านนี้อยู่ในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง แม้ทางกระทรวงศึกษาจะมีโครงการ school health hero  และOBEC CARE เพื่อช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น แต่ความร่วมมือก็ยังไม่ได้กว้างขว้าง  ดังนั้นการพิจารณา ความช่วยเหลือของทีมสหวิชาชีพไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์เข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างครบวงจรจึงควรเกิดขึ้นในส่วนนี้หรือไม่

รมช.ศธ.กล่าวว่า 3. ประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) – การเผยแพร่คลิปเหตุการณ์อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพจิตใจของทั้งครูและนักเรียน และยังเสี่ยงต่อการผลิตซ้ำความรุนแรงในสังคม สื่อและประชาชนควรตระหนักและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้อง ”ดิฉันเชื่อว่าไม่มีเด็กคนใดอยากทำร้ายผู้อื่น การตัดสินจากภาพเพียงไม่กี่วินาทีอาจไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด เราทุกฝ่ายต้องร่วมกันหาทางออกเชิงระบบ ทั้งในด้านการเรียนการสอน การดูแลสุขภาพจิต และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในสถานศึกษา”