“ จากประสบการณ์กว่า 20 ปี ในสนามข่าวแวดวงตำรวจและอาชญากรรม ของ”ประดู่แดง”มีแหล่งข่าวที่ในทุกระดับที่จะให้ข้อมูลที่เป็นบวกและลบในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารกำลังพลใน ตร.มีทั้งปัญหาของผู้บริหารและผู้ที่ถูกบริหาร ให้นำเสนอเพื่อประโยชน์โดยรวมของสำนักสีกากี“

ซึ่งปัญหาหลักคือการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองสารวัตร(สว.)ถึงชั้นประทวน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทาง อาทิ งานนิติเวช พิสูจน์หลักฐาน และตรวจสอบภายใน เป็นต้น
ถ้าได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้าย ทาง ตร.มีโครงการให้กำลังย้ายกลับภูมิลำเนาเดิมเพื่อดูแลอุปการะ พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ มีตำรวจจำนวนมากยื่นสมัครใจ หวังจะได้กลับบ้านเกิด
แต่เมื่อปฏิบัติจริง สำนักงานกำลังพลตอบสนองได้น้อยมาก เนื่องจากกองบัญชาการ(บช.)หลักทั้ง บช.ภ.1-9 กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือตำรวจไซเบอร์ และสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เป็นต้น มีกำลังพลน้อยกว่าอัตราบรรจุ
ส่งผลให้ตำรวจที่ยื่นสมัครใจกลับภูมิลำเนาได้รับการตอบสนองน้อยมาก เพราะ ผบช.ส่วนใหญ่จะไม่เซ็นอนุมัติปล่อยตัว ไม่แตกต่างกับตำรวจที่ต้องใช้ความเฉพาะทางอย่างนิติเวช หรือพิสูจน์หลักฐาน มีกำลังไม่เพียงพอเช่นกัน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทาง ตร.ควรที่จะเปิดช่องทางเพิ่มกำลังพลด้วยการเปิดรับสมัครสอบบรรจุเข้าทำงานเป็นกรณีพิเศษ ด้วยการรับสมัครผู้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ สาขาต่างๆ เข้าขับเคลื่อนงานรองรับกับงานอาชญากรรม ในการเก็บหลักฐาน นำไปพิสูจน์ วิเคราะห์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มัดตัวอาชญากร รวมถึงใช้เป็นหลักฐานสู้คดีในชั้นศาล
แต่ดูเหมือนโครงการลักษณะนี้จะถูกละเลย เพราะไม่เป็นที่ถูกใจของผู้บริหาร ตร.เนื่องจากไม่สามารถนำไปสนองตอบผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆเพื่อเอาบุญคุณได้ รวมถึงไม่สามารถสร้างบารมีให้กับตัวเองหรือแสวงประโยชน์เข้ากระเป๋าได้
ดังนั้นที่ผ่านมาแต่ละยุคแต่ละสมัยมักจะได้เห็นพวกคุณสมบัติพิเศษ อาทิ นามสกุลดัง ลูกนักการเมืองผู้มากบารมี รวมถึงนักกีฬาประเภทต่างๆ พาเหรดกันแต่งเครื่องแบบกันจำนวนมาก แถมฝากชื่อประจำอยู่ตามสำนักงานตำรวจผู้ใหญ่ แต่ตัวจริงไปประกอบธุรกิจของครอบครัวหรือทำธุรกิจอย่างอื่น บางคนไปเอี่ยวกับธุรกิจสีเทา มีน้อยมากที่จะไปเป็นตำรวจโรงพักต่างๆโดยเฉพาะในต่างจังหวัด
หรือกรณีที่เป็นนักกีฬา มีแค่ชื่อแปะไว้ที่ต้นสังกัด ตัวกลับไปเล่นกีฬาให้กับสโมสรต่างๆนอกจากรับเงินเดือนอาชีพตำรวจแล้วยังรับเงินเดือนจากสโมสรกีฬาที่สังกัดด้วย
ล่าสุดมีข่าวนักกีฬาฟุตบอลสังกัดสโมสรของนักการเมืองดัง มีตำแหน่งเป็นรองสารวัตรฝ่ายอำนวยการโรงพักแห่งหนึ่ง ไม่เคยไปปฏิบัติหน้าที่เลย แต่รับเงินเดือนหลวงและรับเงินจากสโมสรหลักแสนบาทต่อเดือน
ซึ่งโครงการลักษณะนี้มีข่าวสะพัดว่ารายละเอียดการรับสมัครบุคคลที่มีคุณสมบัติพิเศษเข้ารับราชการตำรวจ มีทั้งลูกนักการเมือง ลูกนายตำรวจใหญ่ ลูกผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ และนักกีฬาชนิดต่างๆรวมถึงนักกีฬารักบี้ กำลังจะถูกเสนอให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร.เพื่อลงนามอนุมัติ
หากข่าวนี้เป็นจริงและ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เห็นดีเห็นงามด้วย นโยบายหรือแนวทางต่างๆที่เคยประกาศว่าจะเดินหน้ากู้วิกฤตศรัทธา ปลุกขวัญตำรวจให้ทำงานเพื่อประชาชน รวมถึงผลักดันโครงการต่างๆเพื่อพัฒนาให้ตำรวจมีศักยภาพสูง คงเป็นแค่สัญญาลมๆแล้งๆเท่านั้น
หรือถ้าข่าวนี้เป็นจริงแต่ยังวางอยู่บนโต๊ะทำงาน อยากให้ ตระหนักถึง กำลังพลขาดแคลน ระดับโรงพัก กำลังพลทางอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่กำลังรุกทำลายเศรษฐกิจประเทศ อย่างหนักหน่วง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ควรตรึกตรองอย่างละเอียดแล้วให้ไปพิจารณาใหม่ ด้วยการนำไปรองรับบุตรหรือทายาทตำรวจที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วยการรับเข้าเป็นตำรวจแบบไม่ต้องให้รอนาน หรือนำไปปรับรับสมัครตำรวจที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางอย่าง ด้านคอมพิวเตอร์ ด้านนิติเวชหรือพิสูจน์หลักฐานที่กำลังพลขาดแคลนน่าจะดีกว่า
เพราะประโยชน์ล้วนเกิดกับส่วนรวม แถมเป็นการประกาศศักดาว่าสำนักปทุมวันภายใต้การบริหารของ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร”ต้องยึดส่วนรวมเป็นหลัก !!!


