“ณัฐพงษ์” ชี้ “ดีลแลกประเทศ” มีแต่ “ตระกูลชิน” กับนายทุน ได้ประโยชน์ ซัดแย่กว่ายุค “ลุงตู่”

96

ที่รัฐสภา วันที่ 24 มีนาคม เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงถึงเหตุผลในการเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นวันแรก ว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 ประชาชน 40 ล้านคนเดินเข้าคูหาเลือกตั้งด้วยความหวังและความเชื่อมั่นศรัทธา ว่าพอกันได้แล้วกับ 9 ปีที่สูญเสียไป แต่หากใครนอนหลับไปตั้งแต่หลังวันเลือก แล้วตื่นลืมตาขึ้นมาอีกทีวันนี้ ก็คงได้แต่แปลกใจว่าทำไมทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลจากคณะรัฐประหารก่อนหน้านี้ ทั้งการบริหารราชการแผ่นดินที่ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิด การใช้งบประมาณแผ่นดินแบบไร้ความรับผิดชอบ การปล่อยปละละเลยชีวิตประชาชน ปล่อยให้คนไทยต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ปัญหาไฟป่าจนถึงปัญหาฝุ่น pm 2.5 ปัญหาทุนเทาไปจนถึงปัญหาชายแดน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ปัญหาการศึกษา ไปจนถึงการขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากท้อง ปัญหาค่าไฟแพง รวมไปถึงปัญหาด้านการเกษตร ปัญหาปลาหมอคางดำ และการทุจริตคอร์รัปชัน

ทำไมคนไทยจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รัฐบาลซึ่งมีเจตจำนงแน่วแน่ ทั้งที่การเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศลงมติกันแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลง คำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้ก็คือ รัฐบาลชุดนี้เริ่มต้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าเพื่อให้เกิด “ดีลแลกประเทศ” ซึ่งมีประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตรเป็นแกนกลาง ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิดและเครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง ส่วนประเทศและประชาชนนั้นต้องรอไปก่อน ใกล้วันเลือกตั้งค่อยมาปรับบทละครกันอีกที พฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัย เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาจนถึงสมัยของ แพทองธาร ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่ารัฐบาลเพื่อไทยยอมเป็น “นั่งร้าน” ให้กลุ่มอำนาจเดิมเพื่อกลับสู่อำนาจ แต่เวลาพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง อันที่จริง รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใคร เพราะพวกเขาได้หลอมหลวมเป็นพวกเดียวกันทั้งหมดแล้ว 

พรรคร่วมรัฐบาลทำงานร่วมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงไปด้วยกันได้ ไม่เกี่ยวกับรุ่นหรือภูมิหลังใดๆ เพราะพวกเขาใช้วิธีจัดการผลประโยชน์แบบเดียวกัน ต่อรองผ่านสนามกอล์ฟเหมือนกัน ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นขาวเช่นเดียวกัน รู้ช่องทางทำมาหากินผ่านระบบรัฐราชการเหมือนกัน พูดอีกอย่างก็คือนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดพูดภาษาเดียวกันและเล่มเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก เรื่องไหนที่เดินหน้ารวดเร็วได้ผิดปกติ ไม่สนคำทักท้วง รีบผลักดัน ก็คือเรื่องที่ดีลผลประโยชน์กันได้ลงตัวแล้ว อย่างเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กส์ ที่กลายมาเป็นวาระเร่งด่วนให้ความสำคัญเหนือการแก้ปัญหาชาวนาหรือการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน

ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ที่สื่อมวลชนถามนายกรัฐมนตรีว่าคิดอย่างไรเมื่อฝ่ายค้านใช้ชื่อการอภิปรายครั้งนี้ว่า “ดีลแลกประเทศ” ท่านถามสื่อมวลชนกลับไปว่า “ตระกูลชินวัตรได้อะไร” สื่อมวลชนก็อธิบายต่อไปว่า “ได้คุณทักษิณกลับบ้าน” นายกรัฐมนตรีก็ตอบเพียงว่า “ได้คุณพ่อกลับมา อ๋อ คงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวตลอดไป” อย่างน้อยที่สุด นายกรัฐมนตรีก็ยอมรับว่า ดีลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เริ่มต้นจากการพาคุณทักษิณกลับบ้านจริงๆ แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น การอภิปรายสองวันนี้ พรรคประชาชนจะทำให้ประชาชนเห็นว่า ดีลแลกประเทศยังหมายรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ต้องแลกด้วยผลประโยชน์ของประเทศมากมายมหาศาล

2 ปีที่ผ่านมา ประเทศแย่ลงกว่าสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะการเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาล แพทองธาร ทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายต้นทุนราคาแพงทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในด้านการเมือง ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศถดถอยลง ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย ตกลงจาก 6.35 คะแนนในปี 2566 เหลือเพียง 6.27 คะแนนในปี 2567 อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยบกพร่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า ถูกนานาอารยประเทศรุมประณามการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเพื่อไทย ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศเสื่อมถอยลงภายใต้เปลือกของคำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ในด้านเศรษฐกิจ ดูเผินๆ เหมือนจะได้รัฐบาลที่เก่งเรื่องเศรษฐกิจ แต่พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เกิดขึ้นเพราะไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาล่วงหน้า ที่เคยคุยไว้ว่าจีดีพีจะโต 5% ก็เหลือเพียงแค่ 2.5% แต่ทิ้งไว้ด้วยราคาที่สังคมไทยทุกคนต้องจ่ายอย่างสูง ที่จริงความรุ่งเรืองสมัยไทยรักไทยในได้รับประโยชน์จาก “ปัจจัยภายนอก” เป็นหลัก หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง รัฐบาลทักษิณได้รับอานิสงส์จากนโยบายดีๆ ที่กองอยู่บนโต๊ะ ทั้งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30บาท รักษาทุกโรค) การกระจายเม็ดเงินสู่รากหญ้าที่ได้บทเรียนจากโครงการมิยาซาว่า ประเทศญี่ปุ่น และค่าเงินบาทที่อ่อนก็ช่วยให้การส่งออกของประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด จาก 40% ของจีดีพีก็เพิ่มเป็น 70% แต่น่าเสียดายที่มาสมัยรัฐบาลเพื่อไทย ไม่มีนโยบายดี ๆ กองอยู่อีกแล้ว พอต้องคิดเองทำเองทั้งหมด ผลก็เลยออกมาเป็นแบบที่เป็นอยู่

ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าในแง่การบริหารประเทศ การได้ทักษิณกลับมาอีกครั้งนี้ ดูเเหมือนประเทศไทยจะได้ผู้นำแพ็คคู่ คนหนึ่งดูดีมีประสบการณ์ เดินสายทำงานนอกทำเนียบ ส่วนอีกคนอยู่ในตำแหน่ง เป็นคนรุ่นใหม่ ทำงานในระบบ พร้อมผสานการทำงานกับคนรุ่นเก่า แต่ในความเป็นจริงไทยกำลังมีผู้นำนอกระบบที่ทำงานนอกทำเนียบเป็นคนชี้นำวาระ ให้ข้อมูลและนโยบายนำหน้ารัฐบาลโดยปราศจากความรับผิดรับชอบใดๆ เพราะไม่ถูกถ่วงดุลตรวจสอบ วันหนึ่งเคยบอกว่าจะให้ค่าไฟ 3.70 บาท แต่ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผ่านไป 2 เดือนก็มาบอกอีกทีว่าจะลดให้ค่าไฟเหลือ 2.50 บาท แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลายเป็นคนนอกระบบ พูดไปเรื่อย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย 

ส่วนอีกคนที่อยู่ในระบบ ก็ขาดทั้งความรู้ความสามารถ วุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง เช่น การตอบสื่อว่า ค่าเงินบาทแข็งจะไปช่วยการส่งออก ถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างน่าตกใจ หรือเมื่อถามว่าจะจัดการเรื่องค่าไฟแพงอย่างไร นายกฯ ตอบว่า “เมอร์รีคริสต์มาส” ขณะที่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นการผลักดันอะไรที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำตัวจริงเลย ตั้งแต่ฝุ่น pm 2.5 ไปจนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีแต่การลอยตัวหนีปัญหา ไม่สนไม่แคร์ความเดือดร้อนของประชาชน 

“เมื่อรวมผู้นำนอกระบบอย่างทักษิณกับผู้นำในระบบอย่างแพทองธารแล้ว ประเทศไทยกลับเสียสองต่อ เพราะมีแต่คนกำหนดวาระที่ทำงานลอยตัว ไม่ต้องรับผิดรับชอบ กับคนที่ถืออำนาจรัฐแต่ขาดคุณสมบัติ ผมอยากให้ท่านตระหนักรู้ไว้อยู่เสมอ ว่าทุกการกระทำของท่านส่งผลต่อความเชื่อมันของประชาชน ท่านจะทำตัวแบบเดียวกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองในสภาเป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญ มองวาระในสภาเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองนักการเมืองมอง สส. ในสภาเป็นเพียงแค่จำนวนนับให้ท่านจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้” ณัฐพงษ์กล่าว

ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทุกนาทีที่ แพทองธาร อยู่ในตำแหน่ง คือต้นทุนชีวิตราคาแพงที่คนไทยต้องจ่าย โดยเฉพาะเรื่องค่าไฟ ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน แต่นายกรัฐมนตรีตัวจริงออกไปตีกอล์ฟกับกลุ่มทุนพลังงาน เพื่อดีลสัมปทานไฟฟ้ามูลค่าหลายแสนล้านบาท สูบเงินออกจากกระเป๋าชาวนา เกษตรกร และคนไทยทุกคนไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัว นี่คือต้นทุนที่ประชาชนต้องจ่ายไปจากดีลแลกประเทศนี้ เช่นเดียวกับเรื่องที่ดิน ที่เกษตรกรหลายล้านคนทั้งประเทศต่างขาดแคลนที่ดินทำกินหรือโดนกล่าวหาเรื่องป่าทับที่ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่กลับเป็นการดีลกันของ 2 พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกรณีที่ดินมูลค่าหลายพันล้านบาท

ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า ด้านการปฏิรูปกองทัพ ประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้แล้ว ทั้ง พ.ร.บ.ระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งหวังให้กองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน และ พ.ร.ป.ป.ป.ช. ที่มุ่งหวังให้ทหารที่ทำการทุจริตต้องมาขึ้นศาลยุติธรรมไม่ ไม่ใช่ศาลทหาร ก็ถูกโหวตคว่ำ เช่นเดียวการยกเลิกบังคับการเกณฑ์ทหาร ด้านความยุติธรรม ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ หลายครอบครัวยังไม่ได้รับการคืนความยุติธรรมจากคดีตากใบ รัฐบาลไม่เร่งรัดติดตามจำเลยที่หลบหนีมาดำเนินคดีจนขาดอายุความ และผู้ต้องขังคดีทางการเมืองที่กำลังรอฟังคำตอบในเรื่องการนิรโทษกรรม พรรคเพื่อไทยก็ยังไม่กล้าโหวตรับ แต่นายกฯ นอกระบบกลับได้รับสิทธิอยู่ในชั้น 14 เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ เหนือระบบยุติธรรม สังคมจึงหมดหวังกับการทวงคืนความยุติธรรมให้กับประเทศนี้

ณัฐพงษ์กล่าวว่า นอกจากนี้ชัดเจนแล้วว่าประชาชนคนไทยจะไม่มีวันมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าทั้งที่เป็นฉันทามติร่วมกันของสังคม ประเทศจึงต้องอยู่ภายใต้กติกาที่ร่างมาโดย คสช. สืบทอดกลไกที่มาจากคณะรัฐประหาร และไม่แก้ไขและดำรงไว้โดยรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร

ในขณะที่ประชาชนคนไทยต้องทนอยู่กับปัญหาที่อยู่รายล้อมรอบตัว ทั้งฝุ่น pm 2.5 ปลาหมอคางดำ สงครามการค้าโลก เศรษฐกิจไทยที่โตรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน ต้นทุนในการดำรงชีวิตที่สูงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง โอกาสในการประกอบธุรกิจหมดไป ขีดความสามารถของประเทศถดถอย แต่รัฐบาลกลับสนใจเพียงการแจกเงินที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแทบไม่ได้กระตุ้นการเติบโต กับการสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่เห็นได้ล่วงหน้าว่าจะมีเพียงกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลได้ผลประโยชน์ นี่คือความสูญเสียจากการที่มีรัฐบาล “คิดไป ทำไป” หาทางซื้อคะแนนเสียงไปวันๆ

ดีลแลกประเทศในครั้งนี้มีเพียงคนไม่ถึง 1% ที่ได้รับผลประโยชน์ แม้จะต้องทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม หรือกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ ไปถึงการยอมทำให้ประเทศไทยถูกแช่แข็ง เศรษฐกิจล้าหลัง ทิ้งเศษซากปรักหักพังไว้ให้คนอีกกว่า 99% ในประเทศนี้ ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทุกมิติ ปัญหาสำคัญของประเทศยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ความเป็นประชาธิปไตย ที่ดัชนีตกลงทุกด้าน การทุจริตคอร์รัปชันก็ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 12 ปี ยิ่งกว่ายุครัฐบาล คสช. เสียอีก ประชาชนหมดหวังในการทำธุรกิจ การประกอบสัมมาชีพตั้งแต่ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และการบริการ ปากท้องของคนไทย 99% แย่ลงทุกระดับ 

“ถ้ามองไปยังอนาคต ราคาที่ประเทศไทยและคนไทยต้องจ่ายให้กับรัฐบาลแพทองธารจะยิ่งสูงมากขึ้นกว่านี้อีก เพราะไทยยังต้องเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสงครามการค้าโลก รัฐบาลนี้ทำให้ประเทศไทยอ่อนแอ คนไทยไม่กล้าฝัน ไม่กล้าหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า ต้นตอก็มาจากรัฐบาลชุดนี้ที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้งภายใต้ ‘ดีลแลกประเทศ’ ถึงวันนี้ ไม่มีแล้ว สองก๊ก สามก๊ก เหลือแค่ก๊กเดียวคือพรรคร่วมคณะรัฐประหาร ที่พวกเขาทั้งหมดคือพวกเดียวกัน หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว” ณัฐพงษ์กล่าว