ปลัดฯ วันทนีย์ แนะข้าราชการใหม่มีวินัย รู้จักคุณค่าและศักดิ์ของตน และการเป็นข้าราชการ กทม.

91

พญ.วันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของกรุงเทพมหานครให้พร้อมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และพันธกิจ หลักสูตรการฝึกอบรมปฐมนิเทศข้าราชการกรุงเทพมหานคร รุ่นที่ 9 – 10 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (สำนักงาน ก.ก.) ผู้เข้ารับการอบรม และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมพิธี ณ ห้องอมรินทร์ ชั้น 3 โรงแรม เอส ดี อเวนิว เขตบางพลัด

ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เพื่อนร่วมงานจะมีหลากหลายลักษณะ การเรียนรู้และการปรับตัวเป็นเรื่องสำคัญ การสอบเข้ารับราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นการสอบที่ค่อนข้างยาก แต่จะมีอยู่บางส่วนที่ถึงจุดหนึ่งจะขอโอนย้ายกลับต่างจังหวัด ซึ่งก่อนที่จะถึงจุดนั้นอยากให้คิดดี ๆ ก่อน ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งก่อนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องมีการหาเสียง และเมื่อได้รับเลือกตั้งต้องพยายามทำให้ได้ ประกอบกับแผนพัฒนากรุงเทพมหานครที่มีเป็นระยะอยู่ ในฐานะของหน่วยงานของรัฐต้องบริหารงานให้สอดคล้องแผนชาติ รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสภาพัฒฯ บวกกับนโยบาย ซึ่งสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผลจะต้องนำมาบูรณาการและย่อยกระจายงานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ วันนี้ถ้าอยู่ตรงไหนจะต้องรู้นโยบายของส่วนงานนั้น

ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีปัญหาในการทำงานระหว่าง Generation ต่างๆ สิ่งที่สำคัญในการทำงาน และในการเป็นข้าราชการคือ ต้องมีวินัย ถ้าข้าราชการไม่มีวินัย เป็นข้าราชการไม่ได้ ถ้าข้าราชการไม่ปฏิบัติตามวินัยถือว่ามีความผิด ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบันจะมีแนวคิดว่าถ้าอยู่ไม่ได้พร้อมลาออก แต่ถ้าเราสามารถหาคุณค่าในตัวเอง รู้จักคุณค่าของงาน เราจะไม่ยอมแพ้ เป็นข้าราชการต้องมีวินัย ไม่ว่าจะอยู่หน่วยงานไหน ทุกคนมีหน้าที่ ทุกคนมีวินัยที่ต้องปฏิบัติ การมีวินัยทำให้เรามีความเฉพาะมากกว่าคนอื่น มีความตระหนักรู้ มีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นวินัยต่อผู้บังคับบัญชา หรือวินัยต่อผู้ใต้บังคับบัญชา และวินัยต่อเพื่อนร่วมงานและวินัยต่อตนเอง วินัยถือเป็นรากฐานที่ข้าราชการต้องรู้และต้องปฏิบัติ

ปลัดฯ วันทนีย์ กล่าวด้วยว่า กรุงเทพมหานครเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางของประเทศ อะไรเกิดขึ้นที่นี่มีผลกระทบต่อประเทศ กระบวนการทั้งหลายทุกคนจะต้องอบรมบ่มเพาะเพิ่มเติมบนพื้นฐานที่สำคัญคือ คุณธรรมจริยธรรม เรื่องของการปฏิบัติตนที่ส่อไปในทางขัดต่อศีลธรรมอันดี หรือบางครั้งอาจยังไม่ชัดถึงขั้นต้องดำเนินการทางวินัย แต่ถ้าไม่สอดคล้องกับจริยธรรมของการเป็นข้าราชการก็จะต้องมีการดำเนินการด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อทำงานติดขัดประการใด ขอให้มีพี่ มีเพื่อนในการแก้ไขปัญหาใหญ่ให้เล็กลง ในภาพใหญ่ของการเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครมีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ ครอบครัวกรุงเทพมหานครพร้อมต้อนรับทุกคนที่จะมาร่วมพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน อยากให้ทุกคนทำงานมีความสุข เกิดประโยชน์กับสังคม รู้จักคุณค่า รู้จักศักดิ์ศรีของตนและศักดิ์ศรีของการเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร โดย สำนักงาน ก.ก. จัดโครงการดังกล่าว เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ การบริหารราชการ ค่านิยม และวัฒนธรรมขององค์กรกรุงเทพมหานคร อีกทั้งเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ สมรรถนะที่จำเป็นของข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ และระเบียบแบบแผนของทางราชการ ปลูกฝังการประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นข้าราชการที่ดี เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี อีกทั้งได้แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ระหว่างกัน อันจะก่อให้เกิดทัศนคติและค่านิยมที่ดีต่อการทำงาน และเป็นการสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงาน โดยจัดอบรม จำนวน 2 รุ่น คือ รุ่นที่ 9 และรุ่นที่ 10 กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ และประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ซึ่งได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้เข้ารับราชการในสังกัดกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เดือน ส.ค.67 ถึงเดือน ม.ค.68 รุ่นละ 120 คน รวม 240 คน กำหนดการฝึกอบรม รุ่นที่ 9 และ 10 ระหว่างวันที่ 24 มี.ค. – 2 พ.ค.68

รายละเอียดหลักสูตรการฝึกอบรม ดังนี้ การปฐมนิเทศ การฝึกอบรมให้ความรู้ในการปฏิบัติงาน การพัฒนาทักษะการเป็นข้าราชการที่ดี ประกอบด้วย กิจกรรมการพัฒนาจิต รุ่นละ 1 วันทำการ ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กิจกรรมดูงาน รุ่นละ 1 วันทำการ ณ ศูนย์นั้นทนาการลุมพินี เขตปทุมวัน กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่ม (Group Learning) แบบพักค้าง จำนวน 3 วัน 2 คืน ณ จังหวัดนครนายก การทดสอบหลังการเรียนรู้ (Post – test) โดยระบบฝึกอบรมออนไลน์สถาบันพัฒนาทรัพยากรบุคคลกรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมจะต้องมีเวลาในการเข้ารับการฝึกอบรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของระยะเวลาการฝึกอบรมตลอดหลักสูตร และมีผลการสอบหลังการฝึกอบรม
(Post – test) มากกว่าร้อยละ 60 รวมทั้งผลการประเมินทัศนคติต่อองค์กรค่าเฉลี่ยไม่น้อยกว่าระดับ 2.5 จึงจะผ่านการฝึกอบรม