ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตำรวจได้รับเสียงชื่นชมการทำหน้าที่ทั้งรักษาความปลอดภัยและอำนวยการจราจร รวมถึงเสียงชื่นชม ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ วงศ์ใจ รอง สวป.สภ.เมือง เชียงใหม่ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดอดกลั้น ทั้งที่ถูกนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นโมโหกระชากคอเสื้อ หลังห้ามปล่อยโคมลอยคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพราะเกรงจะเกิดอันตราย
แต่ไม่ทันข้ามวันรับปีใหม่กลับมีข่าวฉาว เมื่อ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิธินันท์ สส.พรรคประชาชน โพสต์ข้อความวันที่ 1 มกราคม ว่ามีตำรวจนายหนึ่งส่งข้อมูลเกี่ยวกับการอบรมตำรวจอาสาคนจีน มีค่าอบรมคนละ 38,000 บาท พร้อมตั้งคำถามว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำได้หรือไม่และใช้งบประมาณส่วนไหน พร้อมทำเครื่องหมายตำรวจตราแผ่นดิน หมวก เสื้อกั๊กตำรวจและวุฒิบัตร มีผกก.เซ็นรับรองมอบให้ผู้ผ่านการอบรม เป็นต้น โดยอบรมช่วงวันที่ 25-27 ธันวาคม 2567
กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างและตั้งข้อสังเกตว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องให้คนจีนมาเป็นตำรวจอาสาในหลากหลายหน้าที่ แม้แต่ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การตำรวจเตรียมเรียกผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)และตำรวจที่เกี่ยวข้องรวมถึงมหาวิทยาลัยสยามที่ให้ใช้สถานที่เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง ในวันที่ 9 มกราคม
ขณะที่ พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 (ผบก.น.3)ในฐานะผู้บังคับบัญชา พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ช่วงวงศ์ รองผู้กำกับการสืบสวน(รองผกก.) บก.น.3 ที่ปรากฏในข่าว กล่าวว่าสั่งตั้งคณะกรรการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว โดย พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ อ้างว่าได้รับการประสานจากมหาวิทยาลัยสยาม ให้ไปเป็นวิทยากรในหลักสูตรแจ้งข่าวอาชญากรรมให้ความรู้ในการป้องกันตัวเองแก่นักศึกษาต่างขาติ โดยมหาวิทยาลัยสยามเป็นผู้ดำเนินการและขอความร่วมมือจากผกก.สส.บก.น.3 เป็นที่ปรึกษา
“ขอยืนยันว่า บก.น.3 ไม่ได้เป็นผู้จัดอบรม ส่วนการลงชื่อของ ผกก.สส.บก.น.3 หรือนำสัญลักษณ์ต่างๆไปใช้ จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าทำผิดวินัยหรือผิดกฎหมายส่วนไหน”พล.ต.ต.เกียรติกุล ระบุ
ต่อมา พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น.มีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.นิเวชน์ งามลาภ ผกก.สส.บก.น.3 ผู้เซ็นรับรองวุฒิบัตร และพ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ไปช่วยราชการที่ ศปก.บช.น.โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อมิให้เกิดผลกระทบกับการทำงานของคณะสอบสวนข้อเท็จจริง ผลการสอบสวนจะลงเอยแบบไหนต้องติดตาม
แต่”ประดู่แดง”อยากตั้งข้อสังเกตว่าโครงการนี้มุ่งแสวงหาประโยชน์จากชาวจีนที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทยทั้งแบบนักศึกษา นักธุรกิจทั้งสีขาวและสีเทา เพราะผู้ดำเนินโครงการเป็นชาวจีน มีคลิปชักชวนให้ชาวจีนเสียเงินเข้าสมัครอบรมและผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบรับรอง มีอายุ 2 ปี รับหมวก เสื้อยืด เสื้อกั๊กตำรวจเสื้อสะท้อนเสียง และบัตรประจำตัวมีเครื่องหมายตำรวจตราแผ่นดิน เป็นต้น
โดยดึงตำรวจเข้าร่วมกิจกรรม ใช้สถานที่ในมหาวิทยาลัยที่อาจจะมีนักธุรกิจชาวจีนถือหุ้นอยู่ด้วยเพื่อสร้างภาพให้ดูดี ซึ่งตำรวจทั้งสองนายจะมีเอี่ยวหรือร่วมทุนทำธุรกิจนี้ด้วยหรือไม่ สุดจะคาดเดาคงต้องรอผลการสอบสวน เพราะรายรับจากอบรมเพียงแค่ 3 วันสูงถึง 1,140,000 บาท
หากว่าโครงการนี้ไม่ถูก สส.พรรคประชาชน ออกมาแฉพร้อมตั้งคำถามว่าตำรวจสามารถจัดอบรมตำรวจอาสาให้กับชาวจีนได้หรือ เชื่อว่าน่าจะมีโครงการลักษณะนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่แน่นอน เพราะจังหวัดใหญ่หลายจังหวัดมีชาวจีน เดินทางเข้าไปอาศัยทำธุรกิจที่สีขาวและสีเทารวมถึงนักศึกษาจีน ที่เข้ามาศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน เมื่อจบการศึกษาส่วนใหญ่มีเป้าหมายที่จะทำมาหากินในเมืองไทย เพราะมีโอกาสมากว่าประเทศบ้านเกิด แถมรัฐบาลจีนให้ทุนสนับสนุนทำธุรกิจอีกต่างหาก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หาเกราะป้องกันตัว โดยเฉพาะทางกฎหมาย เพื่อให้ สามารถดำเนินกิจกรรมตามที่ต้องการได้ ช่องทางที่เอื้อประโยชน์แถมเข้าถึงง่ายและโยนผลประโยชน์ล่อใจ คงหนีไม่พ้นองค์กรตำรวจ ซึ่งแนวทางใช้เจ้าน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือโดยใช้ผลประโยชน์ล่อใจชาวจีนจะถนัดที่สุด อดีตผ่านมาปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งที่กลุ่มกลุ่มจีนเทา แนบแน่นกับ บิ๊กทหาร บิ๊กตำรวจ รวมถึงบิ๊กการเมือง เพียงแค่โยนผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยล่อใจกลุ่มบิ๊กเหล่านี้พร้อมที่จะให้ความคุ้มครองดูแลยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก
ดังนั้นโครงการอบรมตำรวจอาสาคนจีน ไม่ควรปล่อยผ่านอย่างยิ่ง ที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)สั่งให้ ผบช.น. จเรตำรวจฯ เร่งสอบสวนข้อเท็จจริงพร้อมคาดโทษ ถ้าพบมีมูลจะโดนทั้งทางปกครองและกฎหมาย หากให้ผลสอบสมบูรณ์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต้องสั่งให้ชุดสอบสวนตามยึดสิ่งที่แจกในการอบรมคืนมาทั้งหมด โดยเฉพาะบัตรประจำตัวที่มีตราแผ่นดินติดอยู่ เพราะผู้ผ่านการอบรมอาจจะมีกลุ่มจีนเทาปะปนอยู่ด้วย จะเป็นช่องทางใช้บัตรนี้ไปแอบอ้างข่มขู่กับคนจีนที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยเพื่อเอาผลประโยชน์หรืออาจจะนำไปอวดอ้างที่ประเทศจีนเชิญชวนคนจีนมาธุรกิจเมืองไทยว่าจะให้ความคุ้มครอง โดยอ้างว่าอบรมเป็นตำรวจไทยมาแล้วด้วยการโชว์บัตรที่ได้จากอบรมการันตี
ประการสำคัญที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ สั่งให้ทุกหน่วยในสังกัดสำนักปทุมวันทั่วประเทศ ตรวจสอบการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวว่าจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ไม่มีผลประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์กับผู้ใด หากพบบุคคลใดแสดงตนแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือนำเครื่องหมายหรือเครื่องแบบไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ทุกหน่วยจัดหนักดำเนินคดีทุกราย ถือว่ามาถูกทางแล้วเพราะเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ถ้าปล่อยผ่านจะเกิดความเสียหายเป็นวงกว้างแน่นอน เพราะฤทธิ์เดชของพวกจีนเทาไม่ธรรมดาอยู่แล้ว !!!