“ฝ่าทางสายมฤตยู”สู่ดอยอ่างขาง (1)

73

” การเดินทางในเส้นทางที่เราไม่คุ้นเคย บางครั้งก็ไม่ควรบ้าบิ่นมาก แต่ควรศึกษาเส้นทางไว้บ้างก็ดี”

เหตุที่เรียกเส้นทางสายมฤตยู เพราะเป็นเส้นทางที่รองเท้าแก้วและเพื่อนสมาชิกต้องขับรถฝ่าสายหมอกที่หนาจนแทบจะมองไม่เห็นทาง ซึ่งลักษณะเป็นทางขึ้นเขา ลาดชัน คดเคี้ยว ชนิดหักศอก ต้องนั่งในรถกันด้วยใจระทึก บางคนนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์พ่อแก้วแม่แก้ว”

การมาผจญภัยกับเส้นทางหฤโหดครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เราตัดสินใจขับรถจากดอยแม่อูคอ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีเป้าหมายที่”ดอยอ่างขาง”อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ด้วยระยะทางห่างกันราวๆ 300 กม. ทริป”แอ่วเหนือ”ครั้งนี้เราตะลุยนอนค้างพักแรมกัน 3 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย เรียกได้ว่า ใช้เวลาท่องเที่ยวชมวิวทิวทัศน์ในรถวันละหลายชั่วโมงเลยทีเดียว …

ราวๆ10โมงเช้าของวันที่ 27 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่2 ของการท่องเที่ยวแบบค่ำไหนนอนนั่นของเรา หลังจากที่ชื่นชมความงดงามของทุ่งดอกบัวตองและน้ำตกแม่สุรินทร์แล้ว เราก็ขับรถข้ามเขาต่อไปยัง จ.เชียงใหม่ ซึ่งต้องบอกว่าระยะทางไม่ได้เป็นอุปสรรคกับเราเพราะเรารู้สึกสนุกและชอบที่จะขับรถผ่านหุบเขา หมู่บ้าน และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆตลอดเส้นทาง ทุกที่ที่เราผ่านล้วนเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ดี แต่แล้วเส้นทางที่เรามีความทรงจำร่วมกันที่เรียกได้ว่า นั่งเกร็งกันในรถตลอด 25 กม. ก็คือ การขับรถบนทางลาดชันและฝ่าสายหมอก ทะยานสู่ดอยอ่างขาง

เราเลือกใช้เส้นทางขับผ่าน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ผ่านไปทาง อ.ไชยปราการ – ฝาง ซึ่งต้องบอกว่าทางโค้งเยอะมาก แต่ทางที่ทำเอาเราขาสั่นก็คือ 25 กม.สุดท้ายก่อนถึงอ่างขาง ราวเกือบ 2 ทุ่ม เรามาถึงปากทางเข้าวัดหาดสำราญ ถนนเส้นนี้จะดูไม่น่ากลัวเลยถ้าเป็นกลางวัน แต่ตอนนี้เรามาเกินครึ่งทางและความมืดปกคลุมหมด รถทั้งสองคันกับอีก8 ชีวิต จะถอยหลังกลับก็ไม่ทันแล้ว ต้องเดินหน้าอย่างเดียว แต่ยิ่งขับเข้าไป ก็พบกับทางลาดชัน ถนนคดเคี้ยวตลอดทางบางโค้งอย่างช่วง กม.14-18 เรียกว่าหักศอก นอกจากทางโค้งแล้วตลอดทางยังเต็มไปด้วยหมอกที่หนาจัด มองไปข้างหน้าได้ไม่เกินเมตร ไม่มีรถยนต์ใดๆขับสวนผ่าน ทางเปลี่ยวอันตราย ไร้สัญญาณโทรศัพท์ ถ้าประสบอุบัติเหตุตกเขา มีหวังกลายเป็นศพไม่มีใครเห็นแน่ๆ ตลอดทางเราต้องใช้ความระมัดระวังสุดๆส่วนตัวไม่ได้คิดถึงอะไรเลย นอกจากจะคอยมองไปข้างหลัง เพื่อรอรถเพื่อนอีกคันที่เป็นรถยนต์กระบะบรรทุกของหนักกับอีก4ชีวิต ที่ห่วงเพราะรถไม่ใช่เกียร์ออโต้ และไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเราขับรถเชี่ยวชาญแค่ไหนกับทางแบบนี้ แอบกังวลใจว่า ถ้าถึงช่วงหักโค้งเกิดขับไปสับเปลี่ยนเกียร์ไม่ทัน มีหวังรถถอยหลังแน่ๆ แต่มารู้ตอนหลังว่า แท้จริงรถเก๋งเกียร์ออโต้คันที่เรานั่งมาอันตรายกว่าอีก ฮ่าๆ

“เราเปิดกระจกรถสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นมีหมอกปกคลุมเกือบตลอดทาง จริงๆแล้วต้องจินตนาการถึงทะเลหมอกสวยๆยามเช้า แต่ตอนนี้กลับไม่มีภาพนั้นในหัวเลย”

ต้องยอมรับว่า เส้นทางนี้น่ากลัวมากจริงๆ ขับรถขึ้นเขาตอนกลางคืน ตลอดเส้นทางมีป้ายบอกไว้ว่าทางขึ้นเขาลาดชัน ใช้เกียร์ต่ำ (D1, D2) อันนี้ต้องยกให้ทางหลวงละที่บอกไว้ละเอียดยิบ ขับไปได้เพราะกลับไม่ได้แล้ว เราขับรถมา 300 กว่ากิโลเมตรแล้ว อีก 25 กิโลเมตรจะถึงเป้าหมาย เราจะไม่ยอม พอขึ้นเนินแรกสู่ไร่ภูตะวัน ไม่เคยนึกว่าจะมีภาพที่พ้นเนินก็เห็นพระจันทร์เกือบเต็มดวงลอยอยู่ตรงหน้าพอดี ทำให้ลืมความหวาดเสียวเนินแรกไปได้ มาหวั่นอีกทีก็ตอนเจอโค้งหักศอกแบบตัว “Z “ลืม โค้ง “S “ไปได้เลย ตอนนี้ทั้ง 4 คน ต้องมาช่วยกันขับรถแล้ว เพื่อนที่นั่งอยู่เบาะหลังสั่งทันทีว่า เกียร์ 1 ตลอดเส้นทาง สมาชิกคนอื่นที่นั่งอยู่ในรถจากที่เมารถก็หายเมา กลับมานั่งตัวตรง ตัวเราเองนั่งเกร็งทั้งมือทั้งเท้า ชีวิตเพื่อนๆ ฝากไว้กับเรา เราทั้งสี่คนกรี๊ดแล้วกรี๊ดอีก หาทางระบายความเครียดที่มี เพลงในรถเปิดไว้แต่ไม่มีใครฟังรู้เรื่องเพราะใจจดจ่ออยู่กับเส้นทางที่ไป ปิดแอร์เปิดกระจกลงเพราะต้องการฟังเสียงเครื่องยนต์กลัวว่าพาหนะคู่ใจจะเป็นอะไรไป พยายามควบคุมรอบเครื่องยนต์ไม่ให้เกิน 3,000 รอบ ขับมาจนถึงด่านทหารที่รถอีกคันรออยู่ข้างหน้า ค่อยใจชื้นขึ้นเล็กน้อย รถเก๋งล่วงหน้าไปก่อน ระหว่างทางเข้าไปหมู่บ้านขอบด้งเห็นแสงไฟรถจี๊ปตามหลังมาจึงตบไฟซ้ายให้แซงปรากฏว่า เป็นรถทหารที่เพิ่งเปลี่ยนผลัดกันแวะถามว่าจะไปที่ไหนกัน เราตอบไปว่าจะไปบ้านพักณิชารีย์กัน และจองที่พักเอาไว้ เขาจึงขอตัวล่วงหน้ากลับฐานบ้านนอแลก่อน มาทราบทีหลังว่าแวะบอกรถคันหน้าให้ด้วยว่าเรากำลังตามไป

 “พวกเราก็พูดติดตลกกันไปว่า น่าจะรอกันบ้างนะ” เส้นทางระหว่างไปบ้านขอบด้งหมอกลงจัด เปิดทั้งไฟหน้าทั้งไฟตัดหมอก มองเห็นทางในระยะไม่เกิน 10 เมตร อาศัยแสงสะท้อนจากเส้นกลางและแผ่นสะท้อนแสงของถนนเท่านั้น มาถึงทางแยกเข้าบ้านขอบด้งเห็นเพื่อนๆ จอดรถรออยู่ ดีใจมากในที่สุดก็มาถึง”  คำบอกเล่าของรถอีกคัน

และแล้วเกือบ 3 ทุ่ม เราทั้ง 8 คนก็ผ่านเส้นทางมฤตยูนี้มาได้ และเข้าพักที่รีสอร์ทณิชารีย์ ที่บ้านขอบด้ง ที่พักที่เราจองไว้ล่วงหน้า เพราะประทับใจเจ้าของรีสอร์ทที่เป็นหนุ่มใหญ่ชาวไทยภูเขา ใจดี บริการแบบกันเอง เมื่อครั้งมาเยือนอ่างขางครั้งแรก เราเข้าพักบ้านหลังใหญ่ราคา 3,000 บาท เป็นบ้าน 2 ชั้น 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น บ้านอยู่ติดภูเขาและไร่สตรอเบอรี่ ตอนเช้าๆแค่เปิดหน้าต่างก็ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขาได้เลย เราสำรวจที่พัก เก็บกระเป๋า เรียบร้อย ก็ช่วยกันนำเสบียงที่ซื้อมาจากตลาดในตัวเมืองเชียงใหม่ ทั้งข้าวเหนียวส้มตำ ไก่ย่าง ปลาเผา ปลาทอด ต้มยำ ผลไม้ และเครื่องดื่มสารพัดอย่าง มานั่งล้อมวงกินกัน เรียกได้ว่า เป็นข้าวมื้อแรกที่ได้นั่งกินและพูดคุยกันตามประสาเพื่อน โดยโฟกัสไปที่ความรู้สึกตอนฝ่าถนนสายมฤตยู ….

สำหรับดอยอ่างขางจะเป็นอย่างไรสวยและประทับใจแค่ไหนรองเท้าแก้วจะนำมาบอกเล่าในตอนต่อไป

โดย รองเท้าแก้ว