กมธ.อว.พบพิรุธเพียบ “รองอธิการฯ – นิติกร ม.พิษณุโลก” แจงพัลวันปมซื้อขายวุฒิการศึกษา ทำหนังสือจี้ อว.ชี้จุดน่าสงสัย สอบขยายผลขบวนการ ออกมาตรการป้องกันซ้ำรอย “จ่ายครบ จบแน่”
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุม N 408 อาคารรัฐสภา นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ( กมธ.อว. ) สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม กมธ.อว โดยได้พิจารณาในกรณีเชิญ ดร.ประภาพรรณ รักเลี้ยง อธิการบดีมหาวิทยาลัยพิษณุโลก มาชี้แจงต่อ กมธ.อว.ในประเด็นมีการกล่าวหาการซื้อ – ขายวุฒิการศึกษาของมหาวิทยาลัยพิษณุโลก โดย ดร.ประภาพรรณ แจ้งว่าป่วย มอบหมายให้ นายมานพ เกตุเมฆ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยพิษณุโลก และนายชาตรี จำลองกุล นิติกร ของมหาวิทยาลัยพิษณุโลก เป็นผู้แทนเข้าชี้แจง
นายมานพ ชี้แจงว่า กรณีของ น.ส.วิไลลักษณ์ ใชยชาญ หรือ “ซ้อลักษณ์ซ้อลักษณ์” ที่มีการกล่าวหาว่าซื้อวุฒิการศึกษาผ่าน “ประธานมูลนิธิท่านหนึ่ง” ทางมหาวิทยาลัยยืนยันว่ามหาวิทยาลัยพิษณุโลกไม่มีการขายวุฒิการศึกษา และได้ตรวจสอบพบว่า น.ส.วิไลลักษณ์ สมัครเข้าเป็นนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ทางมหาวิทยาลัยพิจารณาให้เรียนหลักสูตร 3 ปีครึ่ง เนื่องจากอายุ 42 ปี และมีประสบการณ์การทำงาน เป็นหลักสูตรเรียนวันเสาร์ – อาทิตย์ ทั้งนี้เมื่อมีข่าวเกิดขึ้น ทางมหาวิทยาลัยฯ จึงตรวจสอบพบว่า น.ส.วิไลลักษณ์ ไม่เคยเข้าเรียนตามเงื่อนไขการศึกษา จึงได้พูดคุยสอบถาม น.ส.วิไลลักษณ์ ไม่ประสงค์ศึกษาต่อแล้ว จึงตกลงคืนเงินค่าเล่าเรียนที่ชำระแล้วทั้งสิ้น 130,000 บาท เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เว้นค่าแรกเข้า 1,500 บาท ที่ไม่คืนให้ ขณะเดียวกัน น.ส.วิไลลักษณ์ฯ ได้ออกมาขอโทษทางมหาวิทยาลัยแล้ว กรณีที่กล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยเกี่ยวข้องกับการขายวุฒิการศึกษา
รองอธิการบดี ม.พิษณุโลก และนิติกร ม.พิษณุโลก ชี้แจงด้วยว่า มหาวิทยาลัยพิษณุโลกไม่เกี่ยวข้องกับการขายวุฒิการศึกษา โดยมหาวิทยาลัยพิษณุโลกได้ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง จนพบว่ามี อาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตรักษาการคณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ มีส่วนเกี่ยวข้อง พบว่าเป็นผู้โอนเงินชำระค่าเล่าเรียนแทน น.ส.วิไลลักษณ์ และเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 อาจารย์ท่านนี้ได้ยอมรับแล้วว่าทำจริง รับเงินส่วนต่างค่าเล่าเรียน ทำไปเพราะมีภาระค่าใช้จ่ายเยอะ ต้องผ่อนรถ และเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว โดยทางมหาวิทยาลัยได้พิจารณาดำเนินคดีกับผู้ที่ทำให้มหาวิทยาลัยเสียหาย และ หลังจากได้สั่งอาจารย์ท่านนี้ให้ออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้วก่อนหน้านี้ เนื่องจากทำผิดวินัยร้ายแรง
นายฐากรฯ กล่าวว่า ที่ประชุม กมธ.อว.ได้สอบถามผู้แทนมหาวิทยาลัยพิษณุโลกหลายประเด็น ประกอบกับได้ตรวจสอบเอกสารที่ทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลกส่งมาในเบื้องต้น ก่อนพิจารณาร่วมกัน เห็นพ้องกันว่ามีข้อพิรุธหลายประเด็น
นายฐากรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเข้าให้ข้อมูลของมหาวิทยาลัยฯ กมธ.อว.ตั้งข้อสังเกตหลายประเด็น โดยสันนิษฐานเบื้องต้นว่า อาจมีการดำเนินการเป็นขบวนการหรือไม่ อาจารย์เพียงคนเดียวอาจไม่สามารถทำได้ จากเนื่องนี้อาจจำเป็นต้องตรวจสอบย้อนหลัง รวมทั้งตรวจสอบในสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ว่ามีการดำเนินการในลักษณะเช่นนี้หรือไม่ กรณีนี้มีจุดที่ต้องตั้งข้อสังเกต อาทิ การให้ชำระค่าเล่าเรียนแบบเหมาจ่าย แทนที่จะชำระตามหน่วยกิตที่ลงทะเบียน โดยกรณีนี้สมัครเข้าศึกษาเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2566 แต่กลับเร่งรัดชำระค่าเล่าเรียนทั้งหลักสูตรในเดือนธันวาคม 2566 มกราคม 2567 และ กุมภาพันธ์ 2567 จ่าย 3 งวด รวม 130,000 บาท ขณะที่พบว่าผู้สมัครเรียนมีการจ่ายเงินถึง 199,500 บาท ซึ่งมีส่วนต่างเกิดขึ้น และยังพบมีการให้ค่าตอบแทน หรือค่าคอมมิชชันแก่ผู้ที่แนะนำผู้อื่นมาเรียนที่มหาวิทยาลัยพิษณุโลก แต่เมื่อ กมธ.อว.สอบถาม ทางผู้แทนของมหาวิทยาลัยไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ อีกทั้งการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องซื้อ – ขายวุฒิการศึกษาของมหาวิทยาลัย ก็ล้วนแต่เป็นบุคลากร หรือผู้มีส่วนได้รับค่าตอบแทนของมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น ทั้งที่ควรมีบุคคลภายนอกร่วมด้วยในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อความโปร่งใส เป็นธรรม
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราไม่อยากให้มีคำที่ว่าจ่ายครบจบแน่ ปริญญาซื้อได้ โดยกมธ.อว.จะทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ( อว. ) และปลัดกระทรวง อว. เพื่อชี้ประเด็นพิรุธ และเร่งรัดให้ดำเนินการตรวจสอบเชิงลึก ขยายผลให้รอบด้านสำหรับกรณีมหาวิทยาลัยพิษณุโลก และ อว. ต้องเร่งแก้ปัญหานี้ เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำรอย ม.พิษณุโลก โดยทาง อว.ต้องมีมาตรการเรื่องนี้อย่างชัดเจน ” นายฐากร กล่าว
#Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์#กมธ.อว.#รองอธิการฯ – นิติกร ม.พิษณุโลก#ซ้อลักษณ์