รรท.ผบ.ตร.เซ็นให้ “รองฯโจ๊ก”และลูกน้องรวม 5 นาย ออกจากราชการไว้ก่อนปมเว็บพนันBNK ตั้ง”สราวุฒิ”สอบวินัย

13738

รรท.ผบ.ตร.เซ็นให้ “รองฯโจ๊ก”และลูกน้องรวม 5 นาย ออกจากราชการไว้ก่อนปมเว็บพนันBNK ปัดมีใบสั่งและไม่กลัวถูกเอาคืนย้ำทำตามอำนาจหน้าที่ ไม่หวั่นถูกดึงเป็นคู่ขัดแย้ง พร้อมตั้ง”ผู้ช่วยฯสราวุฒิ”นั่งประธานสอบวินัยร้ายแรงกรอบเวลา 270 วัน

วันที่ 18 เมษายน 2567 ที่ รพ.ตำรวจ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่าได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมกับ นายตำรวจอีก 4 นาย รวมเป็น 5 นาย พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยมี พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วยผบ.ตร.เป็นประธานสอบฯ โดยยืนยันว่ากระบวนการทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบขั้นตอน และตนเองมีอำนาจเต็ม เนื่องจากมีการรายงานพฤติการณ์แห่งคดี และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ได้รายงานเรื่องที่ตัวเองต้องคดีไปตามกระบวนการแล้ว จากนั้นมีการรายงานผล ส่งต่อให้กองวินัยพิจารณา ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และนายตำรวจอีก4นาย กระทำผิดวินัยร้ายแรง และตนเองได้มีการรายงานให้ นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว เพราะ นายกรัฐมนตรี ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปปฎิบัติหน้าที่ที่ สำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้ ต้องมีการส่งตัวกลับมาตามระเบียบ โดยการสั่งออกจากราชการไว้ก่อน มีผลทันที 18 เมษายน สวนการสอบวินัย จะเดินหน้าต่อตามกระบวนการซึ่งมีกรอบเวลา 270 วัน จึงต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพราะกระบวนการสอบวินัยใช้เวลานาน โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอนได้หากเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม


พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่า ไม่ได้กังวลหรือหวั่นไหวใดใด เพราะทำงานตามระเบียบ รวมถึงตนเองแม้จะเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเช่นเดียวกันแต่ไม่ได้สนใจเลย เพราะตอนนี้มีบทบาทหน้าที่เป็นรักษาราชการแทน ก็ต้องทำงานตามขั้นตอนและพร้อมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ยืนยันว่าเรื่องความขัดแย้งเป็นมุมมองของแต่ละคนซึ่งเกิดมานานแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าตนเองอาจจะกลายเป็นคู่ขัดแย้งใหม่ หรือหากผู้ถูกกล่าวหามองว่าตนเองเป็นคู่ขัดแย้งก็คงปฏิเสธไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องให้ข้อเท็จจริงไป แต่ยืนยันว่าตนเองไม่ขอโต้ตอบกลับไปและขอทำงานตามบทบาทหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และอยากให้องค์กรเดินหน้าต่อไปให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธา

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้รับใบสั่งจากใคร ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดีและความีร้ายแรงที่เกิดขึ้น และตนเองเพราะไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ส่วนความเป็นธรรมมีอยู่แล้วเป็นสิทธิ์ที่ พล.ต.อ.สุเชษฐ์ สามารถร้องทุกข์หรืออุทรณ์ได้อยู่แล้วเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน แต่จะดึงตนเองเป็นคู่ขัดแย้งนั้น มองว่าถ้าเกิดขึ้นจริงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถูกมอบหมายให้เป็นรักษาการ ผบ.ตร.ต้องอยู่ในจุดที่ต้องพร้อมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่กลัวการถูกเชคบิลหรือเอาคืนหลังจากนี้ เพราะตนเองทำทุกอย่างตามอำนาจหน้าที่ด้วยความสุจริตใจและให้เกิดความเป็นธรรมกับองค์กรนี้ พร้อมย้ำว่าส่วนตัวไม่ได้คาดหวังเรื่องเป็นตัวจริง ผบ.ตร.คนต่อไปแต่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้กล่าวถึงกรณีคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์อยู่ที่สน.เตาปูน ว่า กรณีของพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ขณะนี้ผมทราบรายละเอียดแค่เพียงว่ามีการร้องทุกข์กล่าวโทษที่สน.เตาปูน ดังนั้นกระบวนการจะต้องเริ่มการสอบสวนที่สน.เตาปูน เป็นไปตามลำดับขั้นตอนเช่นเดียวกัน

ถามอีกว่าขั้นตอนกระบวนการต่างๆ หากวันหนึ่งพบว่าเหมือนกับวันนี้จะต้องดำเนินการแบบเดียวกันหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นอำนาจของผู้มีอำนาจในการพิจารณาตามมาตรา 105 คือนายกรัฐมนตรี เพราะผบ.อยู่ในตำแหน่งผบ.ตร. ซึ่งมาตราดังกล่าวบอกชัดเจนว่าผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาคือนายกรัฐมนตรี
ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งคดีของผบ.ตร. นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย เพราะ เป็นตำแหน่ง ผบ.ตร.

“มาตรฐานเป็นอย่างไร กฎหมายเป็นอย่างไร กฎระเบียบเป็นอย่างไรจะต้องว่าไปตามนั้น ใครถูกกล่าวหาอย่างไรขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน จากนี้ไปคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจะต้องดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและมีความเห็น หากพบว่าเป็นเรื่องร้ายแรงก็เสนอให้ผู้มีอำนาจออกคำสั่งลงโทษไปตามระดับทัณฑ์ที่กำหนด แต่หากพบว่าไม่ร้ายแรง จะพิจารณาไปตามสมควรแก่กรณีของฐานไม่ร้ายแรง ถ้าพบว่าไม่มีความผิดก็ยุติ เป็นไปตามลำดับ“ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุ

ถามอีกว่าในฐานะที่เป็นหนึ่งในแคนดิเดตผบ.ตร. จะมองได้ว่าอาจไม่เป็นธรรมกับเรื่องนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ไม่ได้คิดถึงประเด็นนั้น แน่นอนผมคือแคนดิเดต แต่ผมเคยพูดแล้วว่าผมไม่เคยคิดถึงตำแหน่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมขออยู่กับปัจจุบัน และทำวันนี้ให้ดีที่สุด ดังนั้นในบทบาทที่ผมเป็นรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บทบาทหน้าที่และอำนาจตามกฏหมายที่ผมมีไม่ต่างอะไรจากการเป็นผบ.ตร. ผมก็ต้องพิจารณาพิจารณาไปตามอำนาจหน้าที่และกฎหมาย

“เรื่องอนาคตไม่เคยคิด ไม่ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรเราต้องเคารพในความคิดเห็นของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจคือก.ตร. ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอรายชื่อ ผมจะทำวันนี้ตามหน้าที่ผมให้ดีที่สุด และอยากให้องค์กรเดินหน้าต่อไปให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธา” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยังกล่าวอีกด้วยว่า ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ตามผมขอความร่วมมือตำรวจทุกนายว่าร่วมมือกันทำงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนแต่ถ้าตำรวจคนไหนประพฤติผิดระเบียบ ประพฤติผิดจรรยาบรรณ จนทำให้องค์กรเสียหาย และประชาชนขาดความเชื่อมั่นศรัทธา ผมจะไม่ละเว้นแม้แต่รายเดียว เป็นเจตนารมณ์ที่จะฝากไว้

เปิดหนังสือคำสั่งฉบับเต็ม ให้ “รองฯโจ๊ก” พร้อมพวกรวม 5 คน ออกจากราชการ ปมฟอกเงินเว็บพนัน

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) มีหนังสือคำสั่งที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน ใจความว่า ด้วยข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้


1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2.พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา
3.พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธร พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
4.ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้บังคับหมู่ (ทำหน้าที่จราจร) งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร
5.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผู้บังคับหมู่ งานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการ ตำรวจจราจร


มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ ชื่อ BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญาและถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน” และมีเหตุผลให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 3(1) คือถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญา โดยผู้กระทำความผิดเป็นข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่และอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชนป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา แต่กลับต้องหาว่ากระทำผิดทางอาญาเสียเอง ซึ่งเป็นคดี
สำคัญ ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนและภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง ถ้าให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดความเสียหายแก่ราชการได้ ประกอบกับได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการสอบสวนพิจารณาที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 115 มาตรา 108 มาตรา 131 และมาตรา 179 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออก


จากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2549 ข้อ 8 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 118/2567 ลงวันที่ 20 มี.ค.2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน จึงให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กับพวก รวม 5 นาย ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


อนึ่ง ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ได้ตาม พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 141 ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง และหาก ประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์


รรท.ผบ.ตร.เซ็นตั้ง ’พล.ต.อ.สราวุฒิ‘ เป็นประธานสอบ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พร้อมพวก 5 นาย มีกรอบเวลา 270 วัน

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) มีหนังสือคำสั่ง ตร.ที่ 179/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ใจความว่า ด้วยข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้


1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2.พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา
3.พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธร พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
4.ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้บังคับหมู่ (ทำหน้าที่จราจร) งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร
5.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผู้บังคับหมู่ งานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการ ตำรวจจราจร

มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง สืบเนื่องจากตำรวจภูธะจังหวัดสมุทรปราการ มีคำสั่งที่ 746/2566 ลงวันที่ 18 ธ.ค.2566 และคำสั่งที่ 114/2567 ลงวันที่ 6 มี.ค.2567 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ กรณีต้องหาคดีอาญาในความผิดฐานสมคบ โดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้ มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน ตามคดีอาญาที่ 391/2566 ของสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน และตาม
หมายจับของศาลอาญาที่ 4549/2566 ลงวันที่ 4 ธ.ค.2566 จากการสอบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการ ตำรวจผู้อื่นว่ามีส่วนร่วมในการกระทำการในเรื่องที่ทำการสอบสวนนั้นด้วย ตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ.2547 ข้อ 28 และจากรายงานของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ 593/2566 ลงวันที่ 25 ต.ค.2566 มีพฤติการณ์การกระทำ ดังนี้


เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2566, 8, 16 ม.ค.2567 และ 5 มี.ค.2567 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ 4 ศูนย์ปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 593/2566 ลงวันที่ 25 ต.ค.2566 ได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน ให้ดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำผิดเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ ชื่อ BNKMASTER รวม 22 คน ในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” ซึ่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน รับคำร้องทุกข์ไว้ตามคดีอาญาที่ 391/2566 โดยปรากฎว่า นางสาวพิมพ์วิไล ปล้องอ่อน ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการเว็บพนันออนไลน์ใช้บัญชีของบุคคลอื่นในการบริหารจัดการเว็บไซต์ที่จัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ ด้วยการรับเงินเข้า-ออก จากผู้เข้าเล่นการพนัน รวมทั้งจ่ายสินพนัน และเก็บผลประโยชน์จาการเล่นพนันออนไลน์ และมีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารของ นางสาวพิมพ์วิไล ปล้องอ่อน ผ่านทางบัญชีธนาคารของ นางสาวเบญจมิน แสงจันทร์ ซึ่งเป็นบัญชีที่ พันตำรวจโท คริษฐ์ ปริยะเกตุ เป็นผู้ครอบครองและใช้เป็นจำนวนหลายครั้ง เมื่อโอนเงินแล้วจะมีการส่งหลักฐานการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันไลน์ต่อกันไปให้กับนายณพรรษกรณ์ แหเกิด พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร และ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ทราบ จากนั้นจะมีการโอนเงินจากบัญชีของนางสาวเบญจมิน แสงจันทร์ เข้าบัญชีของ ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว หรือ ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร แล้ว พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ สั่งการให้ ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว หรือ ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ให้นำเงินสดใส่ซองแล้วนำไปวางบนโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ ภายในบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และมีการรับโอนเงินสดมาจากหน้าเคาน์เตอร์ธนาคารและ เครื่องฝากเงินอัตโนมัติอีกจำนวนมาก และมีการโอนเงินจากบัญชีดังกล่าวออกไปยังบัญชีบุคคลอื่น โดยศาลอาญาอนุมัติให้ออกหมายจับ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1063/2567 ลงวันที่ 4 ธ.ค.2566 พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร ตามหมายจับศาลอาญาที่ 4549/2566 ลงวันที่ 12 มี.ค.2567 ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1064/2567 ลงวันที่ 12 มี.ค.2567 ส.ต.อณัฐนันท์ ชูจักร ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1065/2567 ลงวันที่ 12 มี.ค.2567 และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1396/2567 ลงวันที่ 2 เม.ย.2567 เหตุเกิดระหว่างวันที่ 8 ก.พ.2565 ถึงวันที่ 3 พ.ย.2565 สถานที่เกิดเหตุทั่วราชอาณาจักร ในส่วน พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ที่ถูกสอบสวนวินัยไว้ก่อนแล้ว ตามคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัด สมุทรปราการที่ 746/2566 ลงวันที่ 18 ธ.ค.2566 และคำสั่งที่ 114/2567 ลงวันที่ 6 มี.ค.2567 นั้น เป็นการดำเนินการไปภายในอำนาจตามข้อเท็จจริงในขณะนั้น

แต่เมื่อปรากฎข้อเท็จจริงในภายหลังว่า เป็นกรณีข้าราชการตำรวจตำแหน่งต่างกันและอยู่ต่างสังกัดกันถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงร่วมกัน ให้ผู้มีอำนาจสำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่มีตำแหน่งสูงกว่าหรือผู้มีอำนาจพิจารณาสั่งการสำหรับผู้ถูกกล่าวหาทุกคนเป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน อาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 105 มาตรา 108 มาตรา 119 และมาตรา 179 ประกอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 108/2567 ลงวันที่ 20 มี.ค.2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน และคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 436/2548 ลงวันที่ 20 มิ.ย.2548 เรื่องมอบอำนาจการดำเนินการทางวินัย การสั่งให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการ และ กำหนดแนวทางปฏิบัติ จึงให้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการที่ 746/2566 ลงวันที่ 18 ธ.ค.2566 และคำสั่งที่ 114/2567 ลงวันที่ 6 มี.ค.2567 และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทำการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้


1.พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ
2.พล.ต.ท.ณพวัฒน์ อารยางกูร รองจเรตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ
3.พล.ต.ต.ธวัชชัย นาคฤทธิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เป็นกรรมการ
4พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นกรรมการ
5.พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการปราบปราม เป็นกรรมการและเลขานุการ
6.พล.ต.ต.ศุภณัฏธ์ เจริญเรืองสกุล ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 4 เป็นกรรมการ
7.พ.ต.อ.บัณฑิต นิลอ่อน รองผู้บังคับการ (สอบสวน) กองบังคับการกฎหมายและคดี ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นกรรมการ
8.พ.ต.อ.พนม เชื้อทอง ผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ เป็นกรรมการ
9.พ.ต.อ.เทิดสยาม บุญะเสนา ผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวนกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 เป็นกรรมการ
10.พ.ต.อ.อัครเดช สุริยงค์ ผู้กำกับการ ฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการตำรวจสันติบาล 2 เป็นกรรมการ
11.พ.ต.อ.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ ผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม เป็นกรรมการ
12.พ.ต.ท.บุญนำ ลบโลกา รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
13.พ.ต.ท.ศิริพล บุญหนุน รองผู้กำกับการ ฝ่ายสืบสวนและตรวจราชการ 2 กองตรวจราชการ 2 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
14.พ.ต.ท.รชต ฉัตรวชิระวงษ์ สารวัตร กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวนพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ.2547 ให้แล้วเสร็จ แล้วเสนอสำนวนการสอบสวนมาเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป


อนึ่ง ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่ากรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเรื่องอื่นนอกจากที่ ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่น และคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเบื้องตันแล้วเห็นว่าข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมกระทำการใดในเรื่องที่สอบสวนอยู่ด้วยให้ประธานกรรมการรายงานมาโดยเร็ว

คลิ๊กอ่านคำสั่งที่นี่

https://cdn2.me-qr.com/pdf/21763575.pdf

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ #รรทผบตร #รองโจ๊ก #รองต่าย