“ส่วยข้ามชาติ”บุกขึ้นค่านักเลงถึงถิ่นพม่า & ตำรวจไทยเรียกเก็บจริงหรือ..?        

1573


            ยุคที่โลกไร้พรหมแดนผู้คนสามารถเดินหน้าทำธุรกิจได้แทบทุกประเทศ แม้แต่มาเฟียข้ามชาติก็ตั้งองค์กรอาชญากรรมกระจายทั่วทุกภูมิภาค ข่าวสารทะลุทะลวงถึงผู้เสพข่าวได้ทุกระดับ เป็นเรื่องปกติ

          แต่ที่ผิดปกติแทบจะไม่เชื่อว่าเกิดขึ้นจริง เมื่อมีข่าวสะพัดผ่านสื่อออนไลน์ว่า ตำรวจไทยบุกเก็บส่วยข้ามแดนถึงฝั่งพม่า โดยอ้างว่า พ.อ.หม่องชิตตู่ ผู้บัญชาการควบคุมพื้นที่ 7 บ้านส่วนโก๊กไก่ รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้าม บ้านวังแก้ว หมู่ที่ 4 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด และบ้านวังผา หมู่ที่ 4 ต.แม่เจาะเรา อ.แม่ระมาด จ.ตาก ประกาศปิดชายแดนในเขตพื้นที่รับผิดชอบด้านทิศเหนือ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ทั้งหมดตลอดแนวชายแดน เนื่องจากไม่พอใจตำรวจไทยข้ามไปเรียกเก็บผลประโยชน์

  “เนื่องจาก พ.ต.อ.นายหนึ่งจากฝั่งไทย ส่ง พ.ต.ท. สังกัดกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(บก.ภ.จว.)ตากพร้อมลูกน้อง 10 นาย เข้าไปบริเวณช่องทางท่าข้ามธรรมชาติ ตรงข้ามบ้านวังผา ต.แม่จะเรา เรียกเก็บผลประโยชน์ในอัตราที่สูงขึ้น จากพื้นที่ที่ชาวจีนลงทุนเปิดบ่อนคาสิโนและสถานบันเทิง ที่สำคัญคือห้ามต่อรอง โดยอ้างว่าเป็นโยบายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง สร้างความไม่พอใจให้พ.อ.หม่องชิตตู่ จึงสั่งปิดชายแดนเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน เป็นต้นไป”สื่อออนไลน์ระบุ

กลายเป็นข่าวฉาวเขย่าองค์กรสีกากีอีกคำรบ จน พ.ต.อ.สถาพร รอดโพธิ์ทอง รอง ผบก.รักษาการผบก.ภ.จว.ตาก สั่งให้ ผกก.แม่สอด และ ผกก.แม่ระมาด สั่งสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน
 
     ขณะที่ พล.ต.ต.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รักษาการ ผบช.ภ.6 ไปรับตำแหน่งแค่ 1 เดือนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้สั่งตั้งกรรมการสอบสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง โดยมอบให้ พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมสิริ รักษาการรองผบช.ภ.6 เป็นประธานสอบขีดเส้นให้จบภายใน 7 วัน

   ครั้นมาจับประเด็นที่ พ.อ.หม่องชิตตู่ ไม่พอใจ พ.ต.ท.พร้อมพวกไปเรียกเก็บส่วยในอัตราที่สูงขึ้น พอคาดเดาได้ว่าส่วยข้ามแดนนี้ตำรวจไทยเดินทางไปเก็บมาโดยตลอด เพียงแต่ครั้งนี้ไปเพิ่มราคา เป็นเพราะเก้าอี้นายบางคนได้มาแบบมีปัจจัยแลกเปลี่ยนหรือเปล่า ?

      ถ้ามองถึงความเป็นจริงสื่อออนไลน์นำเสนอก็มีเค้าความจริง เพราะผู้ให้ข่าวคือพ.อ.หม่องชิตตู่ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างสื่อตามแนวชายแดนกับบรรดานายทหารกะเหรี่ยง เป็นไปอย่างแนบแน่นในฐานะแหล่งข่าว  เพราะบางช่วงเวลานายทหารกะเหรี่ยงย่อมจะต้องใช้สื่อเพื่อเป็นกระบอกเสียงกระจายให้ข่าวให้โลกรับรู้เมื่อถูกทหารพม่ารังแกหรือบุกโจมตี เพื่อปกป้องอาณาเขตที่ปกครองอยู่

   การข้ามเขตเก็บส่วยตำรวจในพื้นที่เองต่างรับรู้ว่ามีมานานแล้ว บางนายได้ผลประโยชน์จากการอำนวยความสะดวกให้นักพนันไทยข้ามแดนไปเล่นพนันที่คาสิโน แต่ที่ไม่ปรากฏเป็นข่าวเพราะเป็นแบบตามน้ำสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

  แต่ที่กล้าข้ามแดนไปเก็บถึงคาสิโน ตำรวจในพื้นที่ดูดีว่าส่วนใหญ่เป็นฝ่ายสืบสวนระดับจังหวัดหรือระดับภาค เพราะนายคอยเป็นแบ็คให้ บางครั้งมีตำรวจจากส่วนกลางไปร่วมแจมด้วยแต่จะได้มาแบบก้อนโตๆ

  จากกรณีนี้ทำให้นึกถึงเสียงนินทาในยุคหนึ่ง ตำรวจกัมพูชาจับคอลเซ็นเตอร์ส่งให้ตำรวจไทยหรือตำรวจไทยจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่งให้ตำรวจกัมพูชาเพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านั้นไม่ได้เคลียร์ส่วยให้ตำรวจจนเป็นที่พอใจ

  ดังนั้นเผือกร้อนที่ พ.อ.หม่องชิตตู่โยนมา พล.ต.ต.กิติศักดิ์ ในฐานะเบอร์ 1 ของภาค 6 ต้องเร่งทำความจริงให้กระจ่าง ว่า พ.ต.อ.ที่สั่งการให้ พ.ต.ท. พร้อมลูกน้อง 10 นาย ได้กระทำจริงหรือไม่ เชื่อมโยงถึงระดับสืบสวนจังหวัดหรือสืบสวนภาคหรือไม่ ?

  ซึ่งข้อมูลต่างๆคงสืบหาไม่ยาก ระดับผกก.สืบสวนจังหวัดตาก และ ผบก.สืบสวนภาค 6 น่าจะมีเบาะแสบ้าง เพราะล้วนแต่อยู่ในพื้นที่มาก่อน

 หากผลสอบออกมามีมูลความจริง พล.ต.ต.กิติศักดิ์ ในฐานะผู้นำป้ายแดงภาค 6 ต้องลงโทษให้หนักเพราะพฤติกรรมลักษณะได้ที่ทำลายภาพลักษณ์องค์กรตำรวจมาโดยตลอด อย่าให้จบแบบลูบหน้าปะจมูกเหมือนเหมือนกรณีส่วยรถบรรทุกในพื้นที่จังหวัดนครปฐม และผู้บังคับบัญชาของตำรวจกลุ่มนี้ต้องถูกลงโทษฐานปล่อยปละละเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิด

 ถ้ามีมูลแต่ไร้หลักฐานที่จะเอาผิด ต้องวางมาตรการป้องกันให้เข้มงวดเพื่อไม่ให้ไปก่อปัญหาอีก เพราะการปิดด่านแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของชาวบ้านตามแนวชายแดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 จึงได้แต่หวังว่าการเดินเก็บส่วยข้ามชาติครั้งนี้ คงเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหากเกิดขึ้นอีก วิสัยทัศน์ของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ในฐานะผู้นำสำนักปทุมวันที่บอกว่า “ทำให้ตำรวจเป็นองค์กรปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานสากลที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา”คงไร้ความขลัง !!!