“กุญแจ 3 ดอก ที่ใช้ในวงราชการประจำ ราชการการเมืองและรัฐวิสาหกิจ เพื่อความเจริญก้าวหน้า”
ในระบอบการปกครองของประเทศไทย จะเรียกระบอบอะไรก็ตาม เนื้อในของระบอบนั้นมีเพียง 3 ระบบ ที่ใช้ในการบริหารงานและการปกครอง เป็น“กุญแจ 3 ดอก”ที่ใช้ในวงราชการประจำ ราชการการเมืองและรัฐวิสาหกิจ เพื่อความเจริญก้าวหน้า มั่นคง มั่งคั่งในชีวิต จะต้องใช้กุญแจ 3 ดอกนี้ ไขเข้าสู่ระบบ ส่งส่วย อุปถัมภ์ และ ฮั้ว ซึ่งทุกระบบ ต้องใช้เงินนำทางทั้งสิ้น สังคมไทยปัจจุบัน จึงมีแต่คนแสวงหาเงินเพื่อซื้ออำนาจ และแสวงหาอำนาจ
“เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน…จึงมีผู้มองเห็นผู้ชาย 2 กลุ่ม ที่ได้รับอำนาจและ ศรัทธาจากประชาชน น่าจะเป็นกลุ่มคนที่อันตรายที่สุด คือตำรวจ และ นักบวช ตำรวจมีอำนาจและหน้าที่ที่ ประชาชน มอบให้ ให้ดูแลชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชาชน”
ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่เกิดยันตาย นักบวชหรือพระสงฆ์ ได้รับศรัทธา(เหนือกว่าอำนาจ)จาก ประชาชนให้ดูแลจิตใจ(วิญญาน)หรือความรู้สึกนึกคิดของ ปชช. ด้วยการเป็นหมอรักษาทางจิต และเป็นครูสอนทางใจ..ให้ผู้คนมีหางเสือนำทางชีวิต มีคันบังคับกำกับดูแลจิตใจไม่แส่ส่าย ฝึกให้สงบนิ่ง รู้จักปล่อยวาง รู้จักการควบคุมอารมณ์รักโลภโกรธหลง รู้จักสลัดออกซึ่งกิเลสทั้งปวง
เพื่อนำไปสู่การนิพพาน(การนิ่งแล้ว สงบแล้ว ดับแล้วของกิเลส ไม่มาเกิดที่จิตใจอีก)ในทุกช่วงวัยของชีวิต ต้องเรียนรู้ทางธรรม คือทางจิตใจ ให้ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ทางกาย(วิชาการต่างๆ)…
“หากคนสองกลุ่มนี้ไม่ทำหน้าที่ที่ควร ที่ถูกต้อง สังคมนั้นคงจะพินาศย่อยยับ ส่วนอำนาจและบาตรใหญ่(ศรัทธา)นั้น หากใช้ไม่ถูก ใช้ไม่เป็น ย่อมกลับมาประหารผู้ใช้นั้นเอง!…”
พระสงฆ์ มีพระวินัย 227 ข้อ กำกับดูแล แต่ไม่มีบทลงโทษ จะสึกพระสงฆ์สักรูปที่ทำผิดช่างยากเย็น กลายเป็นขยะซุกใต้พรม ปิดประตูปลงอาบัติเมื่อมี1ก็มี 10 จนเป็นนิสัย และเป็นสันดานในที่สุด นี่คือการพัฒนาของจิตไม่ว่าไปในทางดีหรือทางเลว
พฤติกรรมต่างๆมากมายที่มีข่าวรายวันมากกว่าตำรวจเสียอีก บ่อนทำลายสถาบันสงฆ์ จนน่าจะไม่จำเป็นต้องไปฟังการอ้างว่าเผยแผ่ศาสนา อ่านคัมภีร์พระไตรปิฎกเองก็ได้ …ควรใส่ในหลักสูตรวิชาหน้าที่ศีลธรรม ตั้งแต่ ป1 จนถึงมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย นี่คือปัญหาฯที่ต้องปฏิรูป….ตำรวจ มีวินัย 12 ข้อ กำกับดูแล มีบทลงโทษชัดเจน ให้ออก ปลดออก ไล่ออก ตามด้วยคดีอาญา(ถ้ามี)
ปีหนึ่งๆ ตำรวจถูกออกฯถูกลงโทษเป็นร้อย…ภาพรวมสังคมไทยจึงเป็นดังที่เห็น ยากที่จะแก้ไข ในระดับบุคคล มันต้องแก้ไขในระดับระบอบ ระบอบการปกครองที่ดี ผู้นำจะทำไม่ดีไม่ได้ เพราะจะถูกคัดออก ทุกคนในระบอบที่ดี ย่อมไม่สามารถทำไม่ดีได้เช่นกัน จะถูกกำจัดทิ้งไป ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ถ้าระบบกุญแจ3ดอกนั่นยังอยู่ หลายเรื่องก็จะซับซ้อนซ่อนเงื่อน สร้างปัญหาสร้างความยุ่งยากมากมาย…
เมื่อสังคมเรายังแก้ไขระบอบและระบบไม่ได้ จึงทำให้มีการเสี่ยงเบี่ยงเบนในวิชาชีพของตน โดยเฉพาะตำรวจ ที่ต้องคลุกคลีอยู่กับคน ทั้งคนดีและคนร้าย จนมองกันว่าเส้นแบ่งระหว่างโจรกับตำรวจนั้นบางจนชิดกัน..แค่เพียงสั่นไหวเซออกไปนิด เผลอเอียงออกไปหน่อย ตำรวจก็กลายเป็นโจรไปซะแล้ว…
“หัวใจของงานรับใช้และบริการประชาชนจะอยู่ที่หน่วยตำรวจในพื้นที่ระดับอำเภอ เหมือนโรงละครโรงใหญ่ ที่พิเศษคือเป็นโรงละครที่ไม่มีวันรูดฉากปิด เปิดให้เล่นให้ดูกันตลอด 24 ชม.”
ตำรวจทุกคนต้องพร้อมรับปัญหาต่างๆ จากประชาชน ผู้บังคับบัญชา จากเพื่อนร่วมงาน ในแต่ละวัน ต้องจัดการให้เรียบร้อยมากที่สุด ล้าหรืออ่อนแรงเมื่อใด เป็นดินพอกหางหมูเมื่อนั้น อย่าได้หวังการพักผ่อน ต้องบริหารเวลาเอาเอง ออกเวรแล้วยังต้องสางงานเก่าฯลฯ สภาพจิตเสียหาย สภาพร่างกายทรุดโทรม …
ที่สำคัญ งานในพื้นที่นั้น เหมือนสนามประลองกำลังภายใน รบกับความรู้สึกนึกคิดจิตใจของตนเอง เนื่องจาก กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามากระทบแทบจะทุกวันเวลา จากผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำงาน ทุกเพศทุกวัยทุกชนชั้นและทุกอาชีพ ถ้าจิตใจไม่แข็งแกร่ง ไม่มั่นคงในอุดมการณ์หรือหลักการแล้ว ก็จะหวั่นไหวไปกับสื่งเร้าที่เข้ามากระทบ จนเสียความเป็นตำรวจไป สร้างปัญหาให้องค์กร ตนเอง ครอบครัวและสังคมรอบข้าง