วัดใจ”บิ๊กตู่”ชงตั้ง”ผบ.ตร.”
จะยึดถือ มารยาท หรือ อ้าง”กม.-หรือจะอ้าง ตั๋วช้าง”

อยู่ในห้วงเวลาที่ชาวสีกากีลุ้นกันระทึกว่าการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ในวันที่ 24 สิงหาคม เกิดขึ้นจริงและจะมีวาระแต่งตั้งผู้นำสำนักปทุมวันคนใหม่หรือไม่ ?
ทั้งนี้การตั้งผบ.ตร.ก็ขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าจะตัดสินใจแบบไหน ระหว่างรักษามารยาทแบบสุภาพบุรุษชายชาติทหารที่มากด้วยสปิริต ด้วยการเลื่อนวาระการแต่งตั้งไปให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการ
หรือจะอ้างหลักกฎหมายหรืออ้างความจำเป็นต้องตั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เมื่อใดเพื่อจะได้รับตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ได้เลย
“ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ผ่านชีวิตราชการเป็นถึงผู้นำกองทัพ ผู้นำรัฐประหารยึดอำนาจ และผู้นำรัฐบาลมากว่า 8 ปี ย่อมเข้าใจถึงความเป็นภาวะผู้นำที่ดีว่าหากจะใช้คนก็ควรให้คนที่ใช้เลือกเอง ด้วยการเลือกแนวทางที่ 1 คือ เลื่อนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ดำเนินการ”
ซึ่งไม่ได้ขัดต่อหลักกฎหมายแต่อย่างใดและหากการตั้งรัฐบาลชุดใหม่ลากยาวถึงกลางเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคม สามารถตั้งรองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ขึ้นรักษาการผบ.ตร.ได้เลย
เพราะที่ผ่านมามีการตั้ง รองผบ.ตร.รักษาการ ผบ.ตร.นั่งยาวถึง 1 ปี มา 2 คนแล้ว
ครั้งแรกรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ตั้ง พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ รองผบ.ตร.รักษาการ ผบ.ตร.แทนพล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ที่ถูกย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา1 ปี จนเกษียณอายุไปพร้อมกัน
ครั้งที่ 2 ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.)ไม่เห็นกับชื่อรองผบ.ตร.ที่นายอภิสิทธิ์ เสนอเข้าที่ประชุมให้ลงมติเลือกถึง 2 ครั้ง นายอภิสิทธิ์ มีคำสั่งตั้งให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร.จนเกษียณอายุ
ในห้วงเวลาที่ทั้ง พล.ต.อ.สุนทร และพล.ต.อ.ปทีป นั่งรักษาราชการ สามารถบริหารจัดการองค์ตำรวจได้อย่างราบรื่น
แต่ถ้าเลือกแนวทางที่ 2 เดินหน้าเสนอชื่อรองผบ.ตร.คนใหม่ ให้ก.ตร.ลงมติ เลือกเป็นผบ.ตร.ก็สามารถทำได้ เพราะกฎหมายเปิดช่องไว้ และประเดิมใช้กฎหมายตำรวจฉบับใหม่ อีกต่างหาก
เพราะตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 มาตรา 78(1)ระบุว่าในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกข้าราชการตำรวจในตำแหน่ง รองผบ.ตร.โดยคำนึงถึงหลักอาวุโส ความรู้ความสามารถประกอบ โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนและสอบสวนหรืองานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม นำเสนอต่อ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วนำความขึ้นโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ละเลยมารยาทและเมินสปิริตของความเป็นผู้นำที่ดี เลือกเดินแนวทางที่ 2 ก็ได้แต่หวังว่าการคัดเลือก รอง ผบ.ตร.นำเสนอต่อ ก.ตร.ต้องยึดกฎกติกาอย่างเคร่งครัด
หากตีความตามมาตรา 78 (1)ให้คำนึงถึงหลักอาวุโส หมายถึงว่าให้พิจารณาอาวุโสอันดับ 1 เป็นคนแรก นำความรู้ความสามารถมาประกอบ โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
ถ้าตีความในประเด็นประสบการณ์หมายถึงว่า รองผบ.ตร.คนนั้นๆต้องอยู่ในตำแหน่งงานสำคัญๆตามที่กฎกติกากำหนดถึงจะเลื่อนตำแหน่งได้ เพราะประสบการณ์งานตำรวจไม่ใช่จะศึกษาหรือปฏิบัติกันแบบชั่วข้ามคืนแล้วบรรลุ แบบพวกมือปราบสายธรรมะ
ยิ่งงานสืบสวนหรืองานด้านการข่าวด้วยแล้ว ล้วนต้องสั่งสมประสบการณ์ในการทำงานแทบทั้งสิ้น งานแบบนี้ถ้าผู้นำโตแบบค้ำถ่อมาตลอด โอกาสที่ลูกน้องจูงจมูกให้เข้ารกเข้าพงเดินในทางอโคจรเป็นไปได้สูงยิ่ง ถ้าขึ้นนั่งเบอร์ 1 องค์กรก็จะเกิดความเสียหายผลเสียจะตกกับประเทศชาติและประชาชน
เมื่อส่องดู รองผบ.ตร.ที่เข้าข่ายให้พล.อ.ประยุทธ์ เลือกมีด้วยกัน 4 นาย เรียงตามลำดับอาวุโสประกอบด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล
ซึ่งประวัติทั้ง 4 รอง ผบ.ตร.สื่อทุกแขนงได้นำเสนอกันทั่วหน้าแล้วว่าแต่ละคนเติบโตแบบไหน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ นำมาพิจารณาด้วยการนำมาตรา 78(1) มาจับ พล.ต.อ.รอย จะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุด เพราะตามประวัติกว่าจะขยับขึ้นได้แต่ละตำแหน่งต้องคุณสมบัติครบเท่านั้น
“ขณะที่อีก 2 แคนดิเดต คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ชาวสีกากีต่างทราบกันดีว่าเส้นทางก้าวหน้าเดินอย่างไร และทั้งสองย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าหลายตำแหน่งที่ได้ขยับล้วนเต็มไปด้วยข้อยกเว้นทางกติกาแทบทั้งสิ้น จนถูกตั้งฉายาว่าเจ้าพ่อแห่งการยกเว้น”
ดังนั้นทั้งสองต้องเปิดใจรับที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบไนฐานะบุคคลสาธารณะ
ที่สำคัญแนวทางที่ทั้งสองใช้ไต่เต้ากำลังถูกนายตำรวจรุ่นหลังวัดรอยเท้าและลอกเลียนแบบแล้ว เพราะโตไวมีโอกาสก้าวสู่เจ้าสำนักปทุมวันได้ไม่อยากเย็นหนัก แต่ก็ทำลายการบริหารที่ยึดหลักธรรมาภิบาลระบบคุณธรรมและทำลายขวัญตำรวจน้ำดี
ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ยึดแนวทางที่ 2
ดันทุรังแบบไม่ไว้หน้ารัฐบาลใหม่ ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำและออกแถลงการณ์เบรกการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงไว้แล้ว ก็ต้องสร้างบรรทัดที่ดีเพราะการตั้ง ผบ.ตร.ครั้งนี้ประเดิมใช้กฎหมายตำรวจฉบับใหม่ และพล.อ.ประยุทธ์ ริเริ่มวางรากฐานด้วยตัวเอง
โดย พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเสนอชื่อ”พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์”เสนอให้ก.ตร.พิจารณา เพราะคุณสมบัติเหมาะสมครบถ้วนตามกฎหมายใหม่
แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ละเลยเลือกเสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่อาวุโสลำดับสุดท้าย ประสบการณ์ในหน้าที่ก็น้อย เพราะเกือบทุกตำแหน่งที่ก้าวขึ้นล้วนเต็มไปด้วยข้อยกเว้นของกติกา ตามที่สื่อหลายสำนักฟันธงว่าแบเบอร์ เท่ากับว่าบรรทัดฐานการใช้กฎหมายใหม่ถูกละเลย
“ดังนั้นวาทะกรรมที่ พล.อ.ประยุทธ์มักพูดเสมอว่า”เข้ามาด้วยความตั้งใจ เข้ามาด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ ความรู้ ความสามารถ เกียรติยศและผมมาด้วยชีวิต”ระวังจะถูกชาวบ้านกล่าวหาได้ว่าเป็นวาทะกรรมตอแหลให้ดูดี”
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ แล้วก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คน ที่มาจากการเลือกตั้งของตำรวจระดับนายพันขึ้นไป ลงมติเลือกโดยไม่มีเหตุผลที่อธิบายให้สังคมได้กระจ่างได้ แล้วโยนไปว่ามีตั๋วสั่งมา ก็อยากให้ 6 ก.ตร.ลองไปทบทวนว่าที่หาเสียงไว้นั้นได้ทำตามสัญญาหรือไม่ หรือแค่เป็นตรายางคอยประทับให้ผู้มีอำนาจแล้วรอเศษผลประโยชน์ที่นายกรัฐมนตรีและผบ.ตร.โยนให้
ดังนั้นการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ครั้งนี้จะเป็นบททดสอบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดแนวทางสร้างบรรทัดฐานการใช้กฎหมายที่ตัวเองริเริ่มเองให้ถูกหลักเพื่อให้คนรุ่นต่อไปยึดถือ หรือจะเลือกเดินเส้นทางที่ทำลายเกียรติยศของตัวเองแบบถ่มน้ำลายรดฟ้า รวมถึงทดสอบว่าก.ตร.จะยืนหยัดแบบมีศักดิ์ศรีหรือเป็นแค่“เจว็ด” คงต้องติดตาม !!!


