ส่งท้าย”เชื้อชั่วไม่มีวันตาย”

                 นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่มิชอบแสวงหาผลประโยชน์ทั้งในลักษณะฉ้อราษฎร์ และบังหลวง ของเหล่าเสนาบดี ข้าราชการ ทหารและตำรวจ ไป 8 ตอน


         
       ถ้าเทียบกับองคาพยพของหน่วยงานรัฐทั้งหมด เป็นการสะท้อนข้อมูลอันน้อยนิดไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
                   เพราะเกือบทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นกระทรวง กรม และองกรณ์ต่างๆรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ล้วนเต็มไปด้วยการหาผลประโยชน์ของผู้กุมบังเหียนเอาเปรียบประเทศชาติและประชาชน
              ซึ่งข้อมูลที่นำเสนออาจจะมีการตั้งคำถามจากผู้เกี่ยวข้องว่ามีหลักฐานเป็นเอกสารหรือไม่ ก็คงตอบว่ามีบ้าง อาทิ การต่อภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ถ้าอยากตรวจพิสูจน์สามารถไปสังเกตการณ์ได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่มี แต่เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ไปประสบมา
               อาทิ หากใครไปติดต่อที่กรมที่ดิน ถ้าต้องการความรวดเร็วก็สามารถใช้วิธีพิเศษได้ วิธีนี้นายหน้าขายที่ดินหรือพนักงานสินเชื่อของสถาบันการเงินล้วนปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น
              หรือในส่วนของทหารเคยนำเสนอว่าถ้าเลิกเกณฑ์ทหารแล้วเปลี่ยนมาสมัครแทน ระบบส่วยที่เหล่าสัสดีเคยเก็บจากชาวบ้านที่ไม่อยากให้ลูกเกณฑ์ทหารนำส่งเจ้านายในกองทัพภาคต่างๆก็จะหมดไป  นี่ก็แค่เพียงบางส่วน
           ยังไม่นับรวมกรณีนายทหารบางคนสั่งลูกน้องทำเรื่องเบิกเบี้ยเลี้ยงแต่ไม่ได้ทำงานจริง หรือกรณีที่มีชื่อไปอยู่ในบัญชีไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เซ็นชื่อรับเบี้ยเลี้ยง ค่าเสี่ยงภัย ครบทุกบาท แต่ตัวอยู่ที่บ้านนาย และเงินส่วนนี้ก็ให้นายหรือแม่บ้านของนายเป็นผู้รับไป หรือกรณีโกงลูกน้องจนเกิดกรณีจ่าคลั่งที่โคราช
          หรือกรณีการจับกุมอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช รับสินบนจากเจ้าหน้าที่พร้อมของกลางเป็นเงินสดเป็นข่าวโด่งดัง สังคมก็กังขาว่าในอดีตที่ผ่านมาเคยมีลักษณะแบบนี้หรือไม่ หรืออาจจะสมประโยชน์กันทั้งผู้ให้และผู้รับเลยไม่เกิดเรื่อง
        หรือในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สังกัดกระทรวงมหาดไทย ก็มีข่าวฉาวเกิดขึ้นไม่น้อยดูได้จากช่วงที่คณะรัฐประหารนำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจใหม่ๆ โชว์ความเป็นคนดีอ้างลุยปราบโกง ด้วยใช้ม.44 สั่งย้ายนายกอบจ. นายกอบต. และนายกเทศมนตรี เก็บกรุ
        อ้างว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เมื่อสอบไปสักพักก็สั่งคืนตำแหน่งก็เกิดเสียงวิจารณ์ว่าปาหี่ เพราะนักการเมืองท้องถิ่นเหล่านั้นกลายมาเป็นฐานคะแนนเสียงให้รัฐบาลเผด็จการ
       แต่ในห้วง 8 ปี ก็มีเสียงนินทากันกระหึ่มว่า การสอบบรรจุเป็นข้าราชการปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องจ่ายใต้โต๊ะให้คนใกล้ชิดของบิ๊กมหาดไทย หัวละ 500,000.บาท ก็สามารถที่จะสอบผ่านและบรรจุเป็นข้าราชการได้  เงินจำนวนมหาศาลนี้มีเสียงร่ำลือว่าทั้งนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยต่างทราบกันดีว่าไปกองไว้ที่บิ๊กมหาดไทยคนไหน
      ซึ่งกรณีดังกล่าวขอยกตัวอย่างว่ามีการจ่ายกันจริง โดยอดีตผู้อำนวยการกองช่างของ อบต.แห่งหนึ่งในภาคใต้เล่าว่า”ข้าราชการอบต.มารับตำแหน่งระหว่างที่สอนงานเขียนแบบหรือคำนวณราคา ข้าราชการคนดังกล่าวบอกว่าไม่ขอทำเพราะยากแล้วคุยโวว่าพ่อเสียเงินวิ่งเต้นไปแล้ว 500,000 บาท ต้องมานั่งทำงานยากๆและรับคำสั่งคนอื่นอีกหรือ”
      เปรียบเสมือนตลกร้ายในยุครัฐบาลคนดีมี บิ๊ก คสช.นั่งกุมบังเหียนกระทรวงคลองหลอดมายาวนาน 8 ปี และในระยะเวลาอันใกล้กำลังรับสมัครสอบรรจุข้าราชการปกครองส่วนท้องถิ่น หากตั้งรัฐบาลช้าอาจจะมีหลายคนปากมันกันอีก
    ข้อมูลที่นำแสนอมา 8 ตอนและนำเสนอเพิ่มเติมในบางส่วนล้วนเป็นข้อมูลบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงและจริงของผู้เล่าเพราะต่างประสบมากับตัวเอง
      หลายคนเกิดความระอากับรัฐบาลและบริวารที่คาบคัมภีร์คนดีมาอวดอ้างกับประชาชน แต่พฤติกรรมไม่ได้แตกต่างจากที่กล่าวหาคนอื่นว่าฉ้อราษฎร์บังหลวงเลย
        แต่ที่หยิบข้อมูลประเภทเชื้อชั่วไม่มีวันตายที่อยู่คู่สังคมไทยแบบอมตะนิรันดร์กาล มานำเสนอเพราะผลการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประชาชนกว่า 14 ล้านเสียงเทเลือกพรรคก้าวไกล โดยที่พรรคไม่ได้ลงทุนซื้อเสียงแต่อย่างใด
      มาพร้อมกับความคาดหวังว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงบริหารของระบบราชการทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นงานบริการประชาชน ระบบเงินใต้โต๊ะหรือระบบส่วยที่ผู้ประกอบการส่งให้เจ้าหน้ารัฐต้องหมดไป
      หรืองานบริหารบุคคลของหน่วยงานราชการการต่าง ๆอาทิ การซื้อขายตำแหน่ง หรือระบบตั๋วช้าง ต้องไม่เกิด ข้าราชการน้ำดีมีอุดมการณ์ต้องได้เห็นเส้นทางเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
    สิ่งที่คาดหวังนี้ไม่ได้เลื่อนลอย เพราะนับแต่ก้าวไกล ชนะเลือกตั้ง ส.ส.ต่างออกเก็บข้อมูลหรือรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตของหน่วยงานราชการต่างๆ พร้อมสัญญาว่าจะนำไปแก้ไข
   แต่เมื่อถึง ณ เวลานี้ความหวังดังกล่าวส่อเค้าความผิดหวังให้เห็นเพราะโอกาสที่”พิธา”จะนั่งนายกรัฐมนตรีดูเลือนราง เพราะทั่งส.ว.และส.ส.ฝั่งรัฐบาลประยุทธ์ ต่างแสดงจุดยืนค่อนข้างชัดว่าไม่เลือกแม้จะเสนอกี่รอบก็ตาม
  ขณะที่ ส.ว.บางกลุ่มตั้งแง่ว่าพร้อมจะโหวตเลือกนายกฯจากเพื่อไทย แต่ต้องไม่มีก้าวไกลร่วมรัฐบาล
  ดังนั้นเส้นมุ่งสู่ทำเนียบรัฐบาลของ”พิธา”ก็ก้าวห่างไปทุกที ความคาดหวังที่จะเห็นเชื่อชั่วถูกฆ่าให้ตายก็ก้าวห่างเช่นกัน เพราะพรรคการเมืองที่เคยเป็นรัฐบาลมาแล้วต่างนอนกอดเชื้อชั่วแบบไม่ห่างเลย !!

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img