หน้าแรกทั่วไทยแอบลุ้น “นายกฯ ประยุทธ์” นั่งประธานบอร์ด สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ สร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้หน่วยงานบริหารงานวิจัย

แอบลุ้น “นายกฯ ประยุทธ์” นั่งประธานบอร์ด สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ สร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้หน่วยงานบริหารงานวิจัย

ที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรรม(อว.)ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม : อดีต ปัจจุบัน อนาคต” ในงานวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี ว่า นับจากวันก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน วช. มีความเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะเป็นหน่วยงานด้านนโยบายในการจัดกรอบวงเงิน การติดตามเพื่อให้มีการนำผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งปัจจุบันระบบการวิจัยเปลี่ยนไปมากส่งผลให้เกิดงานวิจัยในหลายด้าน อาทิด้านการเกษตรที่ช่วยเพิ่มผลผลิต จนสามารถส่งออกสินค้าเกษตรได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่กระนั้นผลตอบแทนที่เราได้กลับมายังไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศที่เขาส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทย เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มมูลค่าการขายสินค้าจึงต้องวางแผนการดำเนินการ คือ 1) เราต้องร่วมมือร่วมใจกันมากขึ้น ตั้งแต่ระดับของนักวิจัย การใช้ความรู้ ใช้งานวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหา ต้องอาศัยความรู้จากศาสตร์หลายแขนง จึงต้องการความร่วมมือจากนักวิจัยต่างสถาบัน แต่ที่ผ่านมาเป็นไปได้ยากเพราะมีกำแพงระหว่างสถาบัน ระบบการประเมินของสถาบันการศึกษาเรายังเป็นระบบแบ่งแยก การทำงานข้ามสถาบันจึงถูกวัดว่าเป็นผลการดำเนินงานของสถาบันนั้นๆ สิ่งที่เราต้องการทลายคือกำแพงของสถาบัน

2) ปัจจุบันหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัย จะขึ้นตรงกับสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสภาฯ แต่ปัจจุบันรองนายกฯ เป็นผู้รับหน้าที่ จึงขอฝากไว้ถ้าเห็นความสำคัญของงานวิจัย นายกฯ ต้องลงมากำกับเอง นี่คือสิ่งที่คนทำวิจัยต้องการ และทุกรัฐมนตรี ทุกประธานบอร์ดที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานด้านการวิจัยต้องมาอยู่ที่เดียวกัน ดังนั้นเป้าหมายหรือนโยบายที่เราอยากได้จากงานวิจัยก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, 3) การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่ให้ทุน หรือ Funding Agency เพราะเมื่อถึงเวลาจะนำผลงานการวิจัยไปถ่ายทอด ความเป็นเจ้าของมันเกิด การจะนำไปถ่ายทอดได้จำเป็นจึงต้องเปลี่ยนกฎหมายที่ได้แก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว

4) การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ให้ตกเป็นทรัพย์สินของผู้วิจัย ส่วนการนำไปใช้ประโยชน์จะมีกระบวนการทำงานแตกต่างกันไป ขึ้นกับว่าจะนำไปใช้เพื่อประชาสังคม หรือนำไปผลิตเป็นสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็นเรื่องของภาคเอกชนและภาคการผผลิต, 5) การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน หมายถึงทั้งทางด้านอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ รวมทั้งภาคเอกชน ในเชิงที่เป็นประชาสังคม ภาคชุมชนด้วย นี่คือสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นและเกิดการยอมรับมากขึ้น เพราะที่จริงแล้วเอกชนก็สามารถใช้เงินภาครัฐได้ นี่คือสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ จึงต้องปรับปรุงและพัฒนาระเบียบการใช้จ่ายเงินของภาครัฐให้คล่องตัวมากขึ้นโดยปรับเป็นกองทุนเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในเรื่องการใช้เงิน

ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร กล่าวเพิ่มเติม ว่า ถ้าเกิดผลที่ดี แต่ใช้วิธีการทำงานแบบเดิมก็คงไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่ต้องการให้นักวิจัย นักวิชาการ หรือนักบริหารงานวิจัยเปลี่ยนแปลง คือเรื่องของความเชื่อ จะต้องเชื่อว่า ความรู้สร้างทรัพย์สินได้ ต้องเชื่อว่าคนไทยนั้นก็สร้างได้ และต้องเชื่อในงานของคนไทย ต้องทำให้คนเชื่อให้ได้ว่าเวลาทำวิจัยต้องให้ได้มาตรฐาน และถูกควบคุมด้วยกฏระเบียบที่ได้มาตรฐานที่เป็นสากล นอกเหนือจากแวดวงของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม

“อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ คนทำงาน หาวิธีสร้างแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้น นั่นคือความก้าวหน้าในชีวิตการทำงานของนักวิจัย เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะขับเคลื่อนต่อไปซึ่งนอกเหนือจากแวดวงวิจัย ก็คือวงการของอาชีพการทำงานของนักวิจัย เริ่มตั้งแต่สายอาจารย์ที่บอกว่าการทำงานวิจัยในปลายทางเพื่อให้ได้ผลผลิตมา แต่ไม่ถูกนับเป็นผลผลิต ก็นับแต่เรื่องของ Paper Public relations คือการตีพิมพ์ผลงานวิชาการ ก็พยายามปรับให้ตรงกับความต้องการ เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ประเทศชาติ”ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร กล่าว.

ลักษณะศักดิ์ โรหิตาจล ข่าว/ภาพ

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img