หน้าแรก บล็อก

มท.4 “ศศิธร” ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเส้นทางเชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดระนอง หนุนชุมชน OTOP นวัตวิถี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

วันนี้ (17 ธันวาคม 2568) เวลา 09.30 น. นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเส้นทางการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของจังหวัดระนอง เพื่อติดตามผลการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนและการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก โดยมี นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายราชัน มีน้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ภาคเอกชน และประชาชนชาวจังหวัดระนอง เข้าร่วม

การลงพื้นที่ครั้งนี้ คณะได้เริ่มตรวจเยี่ยม ณ จวนเจ้าเมืองระนอง ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง วัดหาดส้มแป้น พ่อท่านคล้าย และชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านหาดส้มแป้น ตำบลหาดส้มแป้น อำเภอเมือง โดยได้ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น อาทิ การทำเซรามิก การร่อนแร่ การทำสบู่สมุนไพรจากน้ำแร่ และการทำไข่เค็ม ณ หมู่บ้านเซรามิก บ้านหาดส้มแป้น ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ชุมชนและการต่อยอดทรัพยากรในพื้นที่อย่างสร้างสรรค์

ต่อมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เยี่ยมชมชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านไร่ใน ตำบลนาคา อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง โดยมีกิจกรรมเด่น โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาพื้นที่ เพื่อยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเน้นการเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต การพัฒนาการท่องเที่ยวของบ้านไร่ใน ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ มุ่งเน้นดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงและสามารถเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก แนะนำให้ชุมชนเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและทักษะภาษา รวมถึงการพัฒนามัคคุเทศก์ชุมชน เพื่อรองรับและถ่ายทอดเรื่องราวเส้นทางท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างมีคุณภาพ เสนอให้วางตำแหน่งพื้นที่บ้านไร่ในให้เป็น “จุดแวะพัก (Rest Area)” สำหรับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าสู่ตัวเมืองระนอง เป็นพื้นที่พักผ่อน ชมทัศนียภาพ และสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังเน้นการสร้าง อัตลักษณ์และเศรษฐกิจชุมชนผ่าน “กาแฟ” โดยแนะนำให้คนในชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำท้องถิ่น ร่วมกันกำหนดจุดเด่นของพื้นที่ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์กาแฟระนองให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้เสนอให้ผลักดันการขอตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สำหรับกาแฟระนอง เน้นย้ำให้ชุมชนวางแผนการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ควบคู่กับแนวคิด Zero Waste แนะนำให้ชุมชนหารือร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อขยายผลจากเมล็ดกาแฟไปสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่น

ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง ขับเคลื่อนสาธารณูปโภค–โครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน

ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพื้นที่ติดตามโครงการพัฒนาเกาะสีชัง บูรณาการภาคีเครือข่ายขยายเขตสาธารณูปโภค–จัดการขยะ พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หนุนท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน

วันนี้ (17 ธ.ค. 68) เวลา 10.30 น. พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เกาะสี อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี


โอกาสนี้ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานันผู้ใหญ่บ้าน และคณะทำงานโครงการพัฒนาเกาะสีชัง รวมถึงภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม

การประชุมในวันนี้เป็นการลงพื้นที่ครั้งที่ 11 เพื่อติดตามผลการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่เกาะสีชัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการจัดการขยะ ซึ่งทุกหน่วยงานได้ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อความต้องการในระยะยาว และแก้ไขปัญหาขยะซึ่งเป็นปัญหาหลักของพื้นที่ โดยเรื่องการบริหารจัดการขยะ ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชน โดย SCG ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ศึกษาโครงการจัดการขยะบนเกาะสีชัง รวมถึงระบบไฟฟ้าและประปาที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการประปาส่วนภูมิภาคดำเนินการให้เกาะสีชังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

โครงการพัฒนาเกาะสีชังเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างรอบด้าน ไม่เพียงยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างแรงจูงใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมเยือน ส่งผลต่อการสร้างรายได้และการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยหากมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้มีความทันสมัยและมีศักยภาพเพียงพอต่อการรองรับการใช้งาน เกาะสีชังจะสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่ลงทุนที่มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โครงการพัฒนาเกาะสีชังเป็นความตั้งใจร่วมกันของทุกฝ่าย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีน้ำและไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ มั่นคง และยั่งยืน อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างโอกาสและความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศต่อไป

สำหรับภาพรวมความคืบหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่เกาะสีชังตามแผนแม่บท 5 ด้าน 1) การบริหารจัดการน้ำดี งานปรับปรุงระบบจ่ายน้ำประปา ระยะที่ 2 ดำเนินการไปแล้ว 20.38% ติดตั้งมิเตอร์ประปารวม 2,200 ครัวเรือน, โครงการปรับปรุงเพิ่มเติมประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำเกาะสีชัง ระยะที่ 1 ดำเนินการแล้วเสร็จ, การรับโอนภารกิจประปาบนเกาะสีชังก่อสร้างระบบผลิตน้ำ RO อยู่ระหว่างการเตรียมการออกแบบและเตรียมพร้อมสำหรับโอนภารกิจ 2) การบริหารจัดการน้ำเสีย โครงการก่อสร้างศูนย์บริหารจัดการคุณภาพน้ำ เทศบาลตำบลเกาะสีชัง ระบบบำบัดน้ำเสียแบบใต้ดินโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กรองรับน้ำเสีย 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ 3) การบริหารจัดการไฟฟ้า ติดตั้ง Solar Farm ขนาดรวมทั้งสิ้น 6 MWp และ Energy Storage 2MW/2.5 MWh อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ 4) การบริหารจัดการขยะ การคัดแยก กำจัดขยะอย่างต่อเนื่องไม่ให้มีตกขาวสะสม และ 5) การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยว โครงการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวอ่าวอัษฎางค์ (หาดถ้ำพังระยะที่ 2) อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ

ภายหลังจากการประชุม พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคณะ ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบจุดขึ้นเคเบิ้ล โครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ (SUBMARINE CABLE KO SICHANG) โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการระบบไฟฟ้า 22 kv จากสถานีไฟฟ้าอ่าวไผ่ 1 มายังท่าเรือแหลมงูเกาะสีชัง ระยะทาง 10.175 กิโลเมตร เพื่อให้ประชาชนเกาะสีชังมีไฟฟ้าใช้ได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ จากนั้น ออกเดินทางไปยังโรงเรียนเกาะสีชัง ติดตามการสนับสนุนการเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าโรงเรียนเกาะสีชัง อาทิ หลอดไฟฟ้า พัดลมโคจร และอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยสำนักงานพระคลังข้างที่ พร้อมมอบสิ่งของให้แก่ครูและนักเรียนโรงเรียนเกาะสีชัง

บานแล้ว 30%”ซากุระเมืองไทย” บนยอดภูลมโล​ ​เตรียมเปิดรถนำเที่ยว 20 ธ.ค.นี้

ดอกนางพญาเสือโคร่ง​ หรือซากุระเมืองไทย​ บนยอดภูลมโล​ เริ่มบานสะพรั่งราว 30% พื้นที่สีชมพูขยายตัวต่อเนื่อง คาดสวยงามรับนักท่องเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมเปิดบริการรถนำเที่ยว 20 ธ.ค.นี้

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า​ รายงานสถานการณ์ดอกนางพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) บนยอดภูลมโล​ ล่าสุด ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2568 พบว่าภาพรวมเริ่มออกดอกบานแล้วประมาณ 30% ทำให้มองเห็นพื้นที่สีชมพูเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่เป็นช่อดอกตูมสีชมพูที่พร้อมทยอยบานในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ทางอุทยานฯจะเปิดให้บริการรถนำเที่ยว “ภูลมโล” อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป คาดว่าจะช่วยรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปชมความงดงามของดอกนางพญาเสือโคร่งได้อย่างทั่วถึง

อุทยานฯ ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวติดตามการอัปเดตข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์ดอกไม้บานจากเพจทางการของอุทยานฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบการท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงความสวยงามต่อไป

“อนุทิน” ย้ำ สแกมเมอร์ เป็นปัญหาระดับโลก ไทย ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ ขอนานาประเทศ รวมพลังปราบจริงจัง

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 17 ธันวาคม 2568 ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในงานประชุมนานาชาติว่าด้วยความร่วมมือระดับโลกเพื่อต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) โดยยืนยันจุดยืนของประเทศไทยในการให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในฐานะ “วาระแห่งชาติ” และเน้นย้ำว่าปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นภัยคุกคามระดับโลกที่ต้องรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณผู้แทนจากนานาประเทศที่เข้าร่วมการประชุม พร้อมระบุว่า การหลอกลวงทางออนไลน์ได้ขยายตัวเกินกว่าจะมองเป็นปัญหาระดับภูมิภาคอีกต่อไป จากการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและเอเปคที่ผ่านมา ผู้นำหลายประเทศต่างสะท้อนความกังวลตรงกันว่า ประชาชนของทุกประเทศ ไม่ว่าจะมีระดับการพัฒนาแตกต่างกันเพียงใด ต่างตกเป็นเป้าหมายของเครือข่ายอาชญากรรมกลุ่มเดียวกัน ซึ่งอาศัยช่องโหว่ระหว่างระบบของแต่ละประเทศในการก่ออาชญากรรม

“อาชญากรรมออนไลน์สร้างความเสียหายทั้งในเชิงมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ และยังสะท้อนถึงความเปราะบางร่วมกันของประชาคมโลก ซึ่งไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พร้อมเน้นย้ำว่า พลังทางการเมืองและความมุ่งมั่นเชิงนโยบายเป็นปัจจัยสำคัญในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้นายอนุทินระบุว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ออนไลน์อย่างจริงจัง โดยได้เสริมความเข้มแข็งด้านการบังคับใช้กฎหมาย จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทางและศูนย์ต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ รวมถึงยกระดับการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อรื้อถอนเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ปฏิบัติการอยู่ในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ชี้ว่า บทเรียนสำคัญจากการประชุมครั้งนี้คือ การดำเนินการในระดับชาติจะต้องเดินควบคู่ไปกับความร่วมมือระหว่างประเทศ เนื่องจากเครือข่ายอาชญากรรมสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามพรมแดน เคลื่อนย้ายเงินภายในไม่กี่วินาที และปรับเปลี่ยนรูปแบบการกระทำได้รวดเร็วกว่าระบบของประเทศใดประเทศหนึ่ง

“ถึงเวลาแล้วที่เราต้องก้าวจากการหารือไปสู่การลงมือปฏิบัติจริง ทั้งการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง การบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดน และการสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อมากขึ้น” นายอนุทิน กล่าว

นายกรัฐมนตรี ระบุเพิ่มเติมว่า ความริเริ่มว่าด้วยหุ้นส่วนโลกเพื่อต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ และแถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ ที่จะมีการพิจารณาในวันถัดไป ถือเป็นก้าวสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการรักษาแรงขับเคลื่อนและแปรเปลี่ยนเป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมในตอนท้าย

นายอนุทิน ย้ำว่า อาชญากรรมออนไลน์จะเติบโตได้ดีในสภาวะที่โลกแตกแยก แต่จะอ่อนแรงลงเมื่อประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อผลักดันการหารือในวันนี้ไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในอนาคต

ทหารนาวิกโยธินขับไล่กำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากดินแดนไทย ยึดพื้นที่บ้านหนองรี (บ้านสามหลัง) ได้สำเร็จ

กองทัพเรือผนึกกำลังกองทัพอากาศ เปิดปฏิบัติการ “ตราดปราบปรปักษ์” ยึดพื้นที่บ้านสามหลังคืนได้ทั้งหมด สถาปนาความมั่นคงชายแดนตราดเรียบร้อย

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ (17 ธันวาคม 2568) กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ได้ดำเนินการขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากพื้นที่บ้านหนองรี (บ้านสามหลัง) ตำบลชำราก อำเภอเมือง จังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพเรือได้เปิดการปฏิบัติการ “ ตราดปราบปรปักษ์ ” ร่วมกับกองทัพอากาศ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ผลการปฏิบัติการสามารถยึดพื้นที่เป้าหมายได้สำเร็จ และสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่ได้เรียบร้อย

กองทัพเรือยืนยันว่าการปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามภารกิจในการรักษาอธิปไตย ความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ โดยเป็นการบูรณาการกำลังรบทุกหน่วยของกองทัพเรือและกองทัพอากาศ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและหลักการสากลด้านสิทธิมนุษยชน

สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ
17 ธันวาคม 2568

กนง. หั่นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เหลือ 1.25% คาดปีหน้าลดเพิ่มอีก 1 ครั้ง

กรุงเทพฯ, วันที่ 17 ธ.ค. – ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 1.25% ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น เงินเฟ้อต่ำลงซึ่งต้องติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด และค่าเงินบาทปรับแข็งค่าเร็วเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานและมากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ขณะที่ภาวะการเงินยังคงตึงตัว

ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2569 กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี ลงเหลือ 1.00% จากทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่จะชะลอลงจากปีนี้ ขณะที่โอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่า 1% ยังจำกัด หากภาพเศรษฐกิจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดย กนง. ยังคงให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา ประสิทธิผลของนโยบาย และการรักษา policy space

สภาสังคมสงเคราะห์ จับมือ กทม. ช่วยซ่อมแซมบ้านชาวชุมชนหลังกรมทางหลวง

กรุงเทพฯ, วันที่ 17 ธันวาคม – รองศาสตราจารย์ ดร.อนุชาติ ศรีศิริวัฒน์ รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ นำโดย นายวรัญญู วอทอง กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์ฯ และนางวฬาลัย สิงห์คะนอง หัวหน้าสำนักสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม เดินทางไปที่ชุมชนหลังกรมทางหลวง เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร พื้นที่เยี่ยมบ้านประชาชนผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน

ทั้งนี้ ดร.เกศี จันทราประภาวัฒน์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายอภิชาต แสนมาโนช ผู้อำนวยการเขตราชเทวี พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตราชเทวี ร่วมประเมินสภาพที่อยู่อาศัย และวางแผนการซ่อมแซมบ้านให้แก่ผู้เดือดร้อนที่ยื่นเรื่องขอรับการช่วยเหลือมายังสภาสังคมสงเคราะห์ฯ

กิจกรรมดังกล่าวสะท้อนบทบาทเชิงรุกของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ในการขับเคลื่อนภารกิจด้านสวัสดิการสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ยกระดับคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

รร.ดีบุกพังงาฯ​ ชี้แจงคลิปนักเรียนรุมทำร้าย ยืนยันไม่เพิกเฉย สั่งย้ายสถานศึกษา–เดินหน้าเยียวยาผู้เสียหาย

โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน ออกแถลงชี้แจงกรณีคลิปนักเรียนใช้ความรุนแรงรุมทำร้ายเพื่อน ยืนยันดำเนินการทางวินัยตามระเบียบครบถ้วน ตั้งคณะกรรมการสอบสวน เชิญผู้ปกครองรับทราบผล สั่งย้ายนักเรียนผู้กระทำผิดแทนการไล่ออก ควบคู่การฟื้นฟูพฤติกรรมและเยียวยาผู้ถูกกระทำ พร้อมยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัย ป้องกันเหตุซ้ำในสถานศึกษา

นานดลยวัฒน์​ สันติพิทักษ์​ ผู้อำนวยการโรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน​ มีหนังสือประกาศ โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน

เรื่อง การชี้แจงเหตุการณ์นักเรียนใช้ความรุนแรงรุมทำร้าย

จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ กรณีนักเรียนใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกาย จากเหตุการณ์
ดังกล่าว ทางโรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายนขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้ดำเนินการกับนักเรียนผู้ที่กระทำความผิดตามระเบียบของสถานศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น โรงเรียนมิได้ส่งเสริมให้นักเรียนกระทำพฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรงในสถานศึกษา

นอกจากนี้โรงเรียนให้ความสำคัญต่อระบบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและความปลอดภัยของสถานศึกษาเป็นสำคัญ ขอให้ผู้ปกครองและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้เชื่อมั่นในการดำเนินการลงโทษนักเรียนของทางโรงเรียนอันเป็นไปตามระเบียบของสถานศึกษาว่าด้วยงานกิจการนักเรียน ฉบับ
พุทธศักราช 2568 (ข้อที่ 23 ระเบียบว่าด้วยการลงโทษ หน้าที่ 12 ในคู่มือนักเรียน โดยคมือนักเรียนจะปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของโรงเรียน) โดยนักเรียนกลุ่มดังกล่าวได้หยุดเรียน และพิจารณาให้ย้ายสถานศึกษาตั้งแต่วัน​ พฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2568​ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2555 และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 นั้น

โรงเรียนขอเรียนชี้แจงผู้ปกครองและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทราบดังนี้

(1)​ โรงเรียนไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และได้ดำเนินการหาข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการ
สอบสวนพฤติกรรมนักเรียนแล้วเสร็จตั้งแต่วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2568​ โดยมีการเชิญผู้ปกครองทุกฝ่ายเข้าชี้แจงและรับฟังการดำเนินการลงโทษนักเรียน

(2)​ นักเรียนที่เกี่ยวข้องทุกคนได้รับการพูดคุย​ ซักถาม และบันทึกข้อมูลอย่างรอบคอบ เพื่อประเมิน
สาเหตุและแนวทางในมาตรการบทลงโทษ การเยียวยา และให้เกิดเหตุขึ้น

(3)​ โรงเรียนได้ดำเนินการทางวินัยตามระเบียบของสถานศึกษา และจะดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงหลักกฎหมาย ความเป็นธรรม และผลประโยชน์สงสุดของนักเรียน

3.1 โรงเรียนได้พิจารณาให้นักเรียนที่รุมทำร้ายเพื่อนตามประจักษ์พยาน ให้ย้ายสถานศึกษา
ซึ่งการให้ย้ายสถานศึกษาเป็นมาตรการที่ถูกนำมาใช้แทนการไล่ออก เพื่อเป็นการให้โอกาสแก่นักเรียนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยยังคงรักษาสิทธิของนักเรียนในการได้รับการศึกษาภาคบังคับไว้อย่างสมบูรณ์

3.2 โรงเรียนได้จัดให้มีการให้คำปรึกษา และฟื้นฟูพฤติกรรมนักเรียน ผ่านครูที่ปรึกษา งาน
แนะแนว และฝ่ายปกครอง เพื่อปรับทัศนคติและส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาอย่างสันติ

3.3 โรงเรียนได้เยียวยากับนักเรียนที่ถูกกระทำโดยการติดตาม เผ้าระวัง และเยี่ยมบ้านรวมถึงให้กำลังใจกับนักเรียน ผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด

(4)​ โรงเรียนจะเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันเหตุ เช่น การเพิ่มครูเวร การสอดส่องพื้นที่เสี่ยง
การจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิต และการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อความปลอดภัยของนักเรียน

ทั้งนี้ โรงเรียนขอความร่วมมือจากผู้ปกครองทุกท่าน ช่วยพูดคุย ทำความเข้าใจ และดูแลพฤติกรรมของบุตรหลาน รวมถึงร่วมมือกับโรงเรียนเพื่อแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โรงเรียนขอแสดงความเสียใจต่อ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอยืนยันว่าจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาความรุนแรงเกิดขึ้นซ้ำ
ตลอดจนดูแลความปลอดภัย และสวัสดิภาพของนักเรียนทุกคนอย่างเต็มความสามารถ

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน
ประกาศ ณ วันที่ 17​ ธันวาคม พ.ศ.2568​

จากโม่ปูนเก่า…สู่บ้านหลังใหม่ของสัตว์น้ำ

สมุทรสาครเดินหน้าสืบสานโครงการ “ปะการังสีรุ้ง” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 นำโม่ปูนเก่าที่เพนท์ลวดลายสีสัน จำนวน 14 ลูก วางเป็นปะการังเทียม บริเวณอ่าวตัว ก. ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำและระบบนิเวศอ่าวไทยตอนบน

โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ อบจ.สมุทรสาคร สมาคมการประมง และภาคเอกชน โดยได้รับการสนับสนุนโม่ปูนเก่าจาก บริษัท กาญจนาคอนกรีต จำกัด ผ่านการประสานงานของ นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ นายก อบจ.สมุทรสาคร

ไม่เพียงช่วยเพิ่มแหล่งที่อยู่อาศัยและอนุบาลสัตว์น้ำ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของงาน สืบชะตาทะเลอ่าวไทยตอนบน ที่สมุทรสาครร่วมกันดูแลทะเลไทยอย่างยั่งยืน

#ปะการังสีรุ้ง #สืบชะตาทะเล #สมุทรสาคร #ปะการังเทียม
#รักษ์ทะเล #อ่าวไทยตอนบน

ตร.คิกออฟทั่วประเทศ! ระดมกวาดล้างอาชญากรรม รับวันคริสต์มาส–หยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2569

สำนักงานตำรวจแห่งชาติปล่อยแถวกำลังพลพร้อมกันทั่วประเทศ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมเข้ม 9 วันเต็ม ก่อนเทศกาลคริสต์มาสและวันหยุดยาวปีใหม่ 2569 เสริมความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว

วันนี้ (17 ธันวาคม 2568) เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนช่วงวันคริสต์มาสและวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2569 ระหว่างวันที่ 17-25 ธันวาคม 2568 รวม 9 วัน โดยกำหนดเป้าหมายผู้กระทำความผิดในเกี่ยวกับอาชญากรรมทั่วไปและความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 ร่วมปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดโดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดย พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วม 409 นาย เข้าร่วมพิธี ณ บริเวณหน้าประตู 1 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว,กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองบัญชาการตำรวจสันติบาล, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จัดกำลังร่วมปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันเหตุ และรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในแต่ละพื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรมวันคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2569 และมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากด้วย

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้มีการปล่อยแถวป้องกันปราบปรามระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนช่วงวันคริสต์มาส และวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2569 ระหว่างวันที่ 17-25 ธันวาคม 2568 ระยะเวลา 9 วัน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย การบังคับใช้กฎหมาย และการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การปล่อยแถวครั้งนี้เพื่อเป็นการตรวจสอบความพร้อมทั้งในด้านกำลังพล ยานพาหนะ วัสดุอุปกรณ์และหน่วยร่วมในการปฏิบัติ อีกทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยวันนี้มีการปล่อยแถวการปฏิบัติพร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อให้การดูแลประชาชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่าน และเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ทุ่มเทเสียสละทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มศักยภาพและมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ดำเนินการตามมาตรการป้องกันปรามปรามอาชญากรรมให้สอดคล้องเหมาะสม

จากนั้นได้มีการตรวจเยี่ยมพูดคุยพบปะให้กำลังใจกำลังพลในแถว ก่อนปล่อยแถวกำลังพล รถยนต์ และรถจักรยานยนต์สายตรวจออกปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงเน้นย้ำในเรื่องของการขับขี่ปลอดภัย เมาไม่ขับ และให้ประชาสัมพันธ์โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ ระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ถึง 5 มกราคม 2569 ระยะเวลารวม 15 วัน