หน้าแรกเศรษฐกิจ-การเงินธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ปีนี้เป็น 2.9% จาก 3.2%

ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ปีนี้เป็น 2.9% จาก 3.2%

นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ (BAY) กล่าวว่า “ธนาคารได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ปีนี้เป็น 2.9% จาก 3.2% เป็นการปรับลดลงติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 สะท้อนการขยายตัวมนอะตราที่ลดลงในไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากการชลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ดูเหมือนจะเพิ่มความรุนแรง จึงทำให้เศรษฐกิจโลกปรับตัวลดลงเร็วขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นในประเทศลดลง เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4 ด้วยปัจจัยหนุนมาจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศน่าจะค่อยๆลดลง จากการที่ธนาคารกลางของประเทศสำคัญต่างๆ ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

ภาคการส่งออกก็มีบทบาทที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 50% ของ GDP ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี ยอดส่งออกของไทยปรับตัวลดลง 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผลกระทบทางตรงและทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมที่มีการส่งออกลดลงคิดเป็น 87% ของอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกทั้งหมด โดยการหดตัวของสินค้าส่วนใหญ่ที่มีการส่งออกมากส่งผลกระทบระดับรุนแรง ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ ส่วนที่ได้รับผลกระทบปานกลาง อาทิ กลุ่มยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ เป็นต้น บริษัทที่ได้รับผลกระทบระดับรุนแรงและปานกลางจากการหดตัวของการส่งออกส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่หรือบริษัทต่างชาติ

ขณะที่การส่งออกเกิดการชะลอตัวก็ส่งผลกระทบมาถึงการจ้างงานในอุตสาหกรรมคิดเป็น 80% ของแรงงานทั้งหมด สะท้อนต่อกำลังซื้อของแรงงาน โดยแรงงานที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีค่าจ้างต่อเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท หากการส่งออกชะลอตัวลงไปอีกจะกระทบการลงทุนและการบริโภคซึ่งจะมีผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย “

สำหรับค่าเงินบาทในสิ้นปี 62 ธนาคารมองว่าจะอยู่ที่ระดับ 30.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าหาก กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงเดือน พ.ย นี้ จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้มองว่า อยู่ที่ 66.50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล มองว่าราคาน้ำมันอาจจะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงหลังจากเกิดเหตุการณ์ถล่มคลังน้ำมันในประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งทำให้กำลังการผลิตน้ำมันหายไป 50% แต่น่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้น เนื่องจากซัพพลายของน้ำมันในโลกยังมีเพียงพอ สหรัฐฯยังสามารถนำน้ำมันจากเชลล์ออยล์และเชลล์แก๊สมาใช้ได้และทางซาอุดีอาระเบียเองก็ประกาศว่าจะสามารถกลับมาผลิตน้ำมันได้ตามปกติภายใน 1 สัปดาห์ จึงทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง


 

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img