กรุงเทพฯ, วันที่ 14 พฤศจิกายน – นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตาม พ.ร.ก.ป้องกันและปรามปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาตรา 13 ครั้งที่ 9/2568 และการประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วมการประชุม
นายไชยชนก กล่าวว่า ประเด็นซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณา ได้แก่ การยกระดับการตรวจสอบและสกัดกั้นบัญชีม้านิติบุคคล ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในส่วนมาตรการ SIM Card ขณะนี้ กสทช. ได้นำมาตรการการจำกัดจำนวนซิมการ์ด ไม่เกิน 5 หมายเลขต่อบุคคล (รวมทุกค่าย) และมาตรการให้ตัวแทนจำหน่าย จะต้องมีการลงทะเบียนในระบบ Dip chip หรือแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยเทียบเท่า เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ กสทช. ขณะเดียวกันประชาชนที่ซื้อซิมการ์ดและลงทะเบียนแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้งานนั้น ขอให้เปิดใช้งานภายใน 60 วัน โดยหากเกินกำหนด จะต้องมายืนยันตัวตนซ้ำอีกครั้ง

ด้านการปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตแนวชายแดน ภายหลังการตรวจสอบ พบว่ายังมีสัญญาณล้ำออกไปในชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน จำนวนประมาณ 100 จุด โดยแจ้งให้ผู้ให้บริการเครือข่าย (โอเปอเรเตอร์) แก้ไขภายใน 3 วัน ซึ่งหากพบมีสัญญาณล้ำออกไปอีก ให้พักใช้ใบอนุญาตตั้งสถานีฐานนั้นๆ และให้แก้ไขจนกว่าจะแล้วเสร็จ และจัดมาตรการดูแลไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ โดยในระยะยาวจะต้องจัดทำแผนปรับปรุงโครงข่ายโทรคมนาคมแนวชายแดน ตามที่ กสทช.กำหนด
นายไชยชนก กล่าวว่า ขณะที่มาตรการจำกัดการส่ง SMS และ e-mail แนบลิงก์ ของหน่วยงานรัฐ หน่วยงานอื่นๆ และธนาคาร กระทรวงดีอี เตรียมนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาในสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย ยังได้เร่งบูรณาการข้อมูลบัญชี (Account Bureau) ระหว่างธนาคาร เพื่อการเฝ้าระวังและตรวจสอบการเปิดบัญชีของบุคคลที่มีความเสี่ยง รวมทั้งยกระดับการตรวจสอบเข้มข้นในกรณีของการเปิดบัญชีใหม่

รมว.ดีอี กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาเบื้องต้นในมาตรการใช้งาน Mobile Banking ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องเปิดการระบุตำแหน่ง (Location) ในการทำธุรกรรมการเงิน โดยมาตรการนี้จะต้องคำนึงถึงการไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะมีการจำกัดการเข้าถึงเฉพาะในขณะที่จะต้องใช้เป็นหลักฐาน เมื่อเป็นการก่อเหตุของสแกมเมอร์เท่านั้น
ด้านมาตรการควบคุมดูแลแพลตฟอร์ม ได้มอบหมายให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) หารือเรื่องการยกระดับมาตรฐานการยืนยันตัวตน (KYC) ร่วมกัน รวมถึงการพิจารณาการออกกฎหมายกำกับดูแลแพลตฟอร์ม โดยให้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อความเสียหายจากสแกมเมอร์ที่เกิดขึ้นกับประชาชน รวมทั้งมอบหมายให้มีการตรวจสอบคำนิยามของ “การโฆษณา” ในแพลตฟอร์ม หรือเว็บไซต์ Search Engine เพื่อดำเนินการกำหนดมาตรการป้องกันการค้าหา URLs ผอดกฎหมาย
“มาตรการซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณานั้น ถือว่าเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญ เพื่อตัดการเชื่อมโยงช่องทางในการก่อเหตุของสแกมเมอร์ โดยคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญ คือการป้องกันไม่ให้สแกมเมอร์สร้างความเสียหายและผลกระทบแก่ประชาชน” นายไชยชนก กล่าว

