ทุกเหตุการณ์พิบัติภัยทางธรรมชาติ ที่ประเทศไทยมีประสบการณ์การรับมืออยู่แล้วทุกปี เสมือนมีปฏิทินที่จะรู้ว่าเดือนนี้ของทุกปีจะมีน้ำท่วมที่ไหน แล้งจุดใด ไปจนถึงเรามีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการคาดการณ์ เรามีนวัตกรรมในการรับมือ กระทั่งยุคเอไอที่ไปถามอะไรมันก็พอตอบได้ และคำถามสำคัญสำหรับกรณีนี้คือ แล้วประสิทธิภาพของราชการเราอยู่ตรงไหน หรือข้าราชการมีไว้ทำไม?

ที่ต้องตั้งคำถามแรงๆ เช่นนั้น เป็นเพราะว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ กลไกและประสิทธิภาพของราชการมันอยู่ตรงไหนไม่ทราบ เราเห็นสารพัดมูลนิธิเป็นร้อยแห่งเป็นพันคนระดมสรรพกำลังไปช่วย เราเห็นนักหิวแสงไปหาซีน ไปสวมแจ็กเก็ตเพื่อบอกว่าฉันเป็นดีฉันมาทำความดี (ส่วนหลังจากนี้จะไปทำชั่วที่ไหนก็ได้ เพราะฉันเคยใจบุญมาแล้ว?)
เราเห็นคนหน้าเดิมๆ ขยันลงไปถ่ายรูป 5 นาทีจากเงินที่ได้จากคนอื่น ไปประกาศให้สาธารณชนทราบว่ามาบริจาคอะไร โดยไม่ต้องใช้เม็ดเงินโฆษณาเลยแม้แต่น้อย จากพวกหน้าเดิมๆ เหล่านี้จึงทำให้มีคำถามว่าแล้วคนที่มีหน้าที่อยู่ไหน? ข้าราชการทำอะไรอยู่ นี่คือหน้าที่ของ you หรือเปล่า ภาษีของเราทุกคนจ่ายให้คนเหล่านี้มาขับเคลื่อนกลไก ในการทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข พิทักษ์สันติราษฎร์ และทำให้สังคมมันไปต่อได้
สังคมไทยเพิ่งมีกรณีคลาสสิกเป็นกรณีศึกษา คือเมื่อสิงหาคม 2568 หลังจากชายแดนไทย–กัมพูชามีเหตุปะทะกันรุนแรง มีการอพยพประชาชน ผลปรากฏว่ามีการเปิดข้อมูลกลางสภาว่ามีจังหวัดหนึ่งเบิกจ่ายเงินในเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้นไปแค่ 5 หมื่นบาท! ทั้งที่มีการอนุมัติงบแล้วจังหวัดประสบภัย ที่ละ 100 ล้าน! ถามผู้ว่าไปๆ มาๆ ไม่ได้ติดขัดอะไร แต่ไม่ได้เบิก สุดท้ายต้องเด้งผู้ว่าฯ ไปเข้ากรุ นี่ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน คนอยู่ในช่วงสงคราม หนีตาย ไม่สะดวกสบาย แต่ราชการกลับไปทำอะไรอยู่ไม่รู้ คนเลยสงสัยว่าในราชการไทยยังมีเกียร์ว่างอีกมากมาย สุดท้ายต้องพึ่งพามูลนิธิที่หิวแสง
ดังนั้น จะจัดการตรงนี้ได้ ช่วยประชาชนได้ตรงจุด คือการไล่ให้ข้าราชการกลับไปตั้งใจทำงานหน้าที่ตามปกติเลย โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แค่ทำหน้าที่ปกติให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่เกียร์ว่าง ไม่เช้าชามเย็นชาม ประสิทธิภาพจะดีขึ้นทันที
วันนี้ที่เราเห็นคือบรรดาข้าราชการยังมีค่านิยม ขนคนไปต้อนรับนักการเมือง ซึ่งจริงๆ ความน่ากลัวหรือความน่าระวังในการทำงานแบบนี้คือเรื่องอำนาจ ระหว่างผู้มีตำแหน่งทางการเมืองกับราชการระดับสูงมันส่อเอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน ประโยชน์ในเชิงความก้าวหน้าบางอย่าง เลยทำให้หลายคนเลือกวิ่งในเส้นทางนี้ แม่งโคตรอันตราย แล้วยิ่งทำให้ข้าราชการเหล่านั้นสั่งลูกน้องทำงานเอื้ออำนาจ ห่างไกลความรับใช้ประชาชนเข้าไปอีก ถ้าข้าราชการปลดเกียร์ว่างได้เมื่อไหร่ ประเทศไทยไปต่อทันที เราเห็นที่เวียดนามมีการรีไซซ์ย่อราชการลง ประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วเวียดนามยังมีแนวโน้มสดใส กลายเป็นประเทศน่าจับตามองในแง่ความเจริญเติบโต ฐานการผลิตที่ย้ายมามากขึ้น
กลับมามองที่บ้านเรา ทำยังไงน้ำท่วมแล้วมีกบไกราชการไปถึงทันที มีกรมที่เกี่ยวข้องไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แบบไม่ต้องรออนุมัติงบเบิก ประชาชนตายก่อน! แล้วเลิกสักที อันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน เพราะหน่วยงานซ้ำซ้อน เลยไม่คิดว่าเป็นหน้าที่ตัวเอง เลยไม่มีสักกรมเข้าไป ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยุบหน่วยงานนั้นๆ ไปเสีย ไม่ต้องมี เปลืองภาษี เราจะเห็นตอนแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ เกี่ยวข้องไปหลายกรมหลายกระทรวง กว่าจะมี sms หรือระบบเซลล์บรอดแคสต์ ต้องให้ประชาชนตายก่อนถึงจะตอบสนองความต้องการประชาชนได้ ตอนนั้นกรมหนึ่งบอกยังไม่ได้รับข้อมูลจากอีกกรมหนึ่ง อีกหน่วยหนึ่งบอกไม่มีอำนาจเพราะเป็นของอีกหนึ่งหน่วย จะบ้าตายประเทศไทย!
อีกหนึ่งกรณีศึกษา ดราม่าพระสงฆ์ไทย เสพเมถุน สะสมเงิน สร้างการละครฉากทำดีน่าศรัทธาบังหน้า ถามว่าทำไมต้องมาถึงตำรวจ ถ้าสำนักพุทธฯ มส. ไม่นั่งทับขี้ตัวเองอยู่จะรู้ไหมว่ามันเละแบบนี้ มีคลิปเป็นพันเป็นหมื่นคลิป มีเส้นเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ถามว่าหน่วยงานกำกับศาสนาไปทำห่าอะไรอยู่ ถ้าไม่รู้ก็ยุบไปเลยครับ ให้คนอื่นเจามาลุยจับล้างบาง ตัวเองเลิกทำงานไปเลยไม่มีประสิทธิภาพ
นี่คือตัวอย่างอันน้อยนิด เรายังไม่เห็นผลอีกหลายเคส เช่น รุกที่ป่า รุกที่หลวง หรือบางหน่วยจงใจปิดตาข้างหนึ่ง ถ้าราชการสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน เปิดใจ ให้ความยุติธรรมบังเกิด เพื่อยุติปัญหา เชื่อว่าประชาชนจะศรัทธามากขึ้น อย่าให้คนต้องมาด่าข้าราชการกันรายชั่วโมงแบบนี้เลย แล้วเขาไม่ได้เพิ่งมาด่า เขาด่ามาเป็น 10 ปี ดีที่ยุคนี้มีโซเชียลช่วยกันกดดันตรวจสอบ ไม่อย่างนั้นคงมีอีกหลายหน่วยงานยินดีนั่งทับขี้ที่เหม็นเน่าและเป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศ ถ้าประเทศที่จะเจริญ แค่ราชการทุกคนตั้งใจทำงานกันคนละนิด มันก็ขับไปแล้วครับ เงินบำนาญ เงินเกษียณ สิทธิมากมาย ทำให้คุ้มภาษีหน่อย อย่าปล่อยให้ประชาชนของคุณทยอยตายไปต่อหน้าต่อตา!!


