ฝากปัญหาที่ 5 ถึงรัฐบาลอนุทินเร่งกู้วิกฤตศรัทธาพุทธศาสนา

909

ฟังนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังเข้ารับพระบรมราชโองการฯ ถึง 4 ปัญหาที่จะเร่งแก้ภายในกรอบเวลา 4 เดือน ประกอบด้วย ปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง ภัยธรรมชาติ และปัญหาภัยสังคม

แต่ในความเห็นของ “จอมมารน้อย” ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลนายอนุทินควรจะเร่งแก้ไขด้วย แม้จะบอกว่ามีอายุแค่ 4 เดือนก็ตาม นั่นคือ วิกฤตศรัทธาพระพุทธศาสนา เพราะนับแต่เกิดเหตุพระชั้นผู้ใหญ่กว่า 10 รูปพัวพันสีกากี รวมถึงสมีอลงกต แห่งวัดพระบาทน้ำพุ ที่ทำให้พุทธศาสนิกชนที่บริจาคเงินทำบุญอยู่ในอาการช็อกไปตามๆ กัน

หากรัฐบาลนายอนุทินไม่หยิบขึ้นมาเป็นปัญหาที่เร่งจัดการ โอกาสที่วัดต่างๆ ร้าง และพุทธศาสนิกชนหันหลังให้วัดมีสูง

ขอเล่าประสบการณ์จริงมาประกอบว่าทำไมถึงต้องเร่งแก้ปัญหานี้ด้วย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา “จอมมารน้อย” เดินทางไปทำธุระที่ จ.สิงห์บุรี ถือโอกาสแวะวัดที่พุทธศาสนิกชนนิยมไปสักการะพระพุทธรูป 2 แห่ง และแวะวัดใน จ.อ่างทอง อีก 2 แห่ง ระหว่างเดินไปสักการะพระพุทธรูป รู้สึกใจหาย

เนื่องจากที่ผ่านมาช่วงหยุดเสาร์-อาทิตย์ วัดทั้ง 4 แห่งจะเนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนทั้งจากกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ร้านค้าของชาวบ้านที่เคยคึกคักเป็นพิเศษ กลับเงียบเหงา มีร้านค้าเปิดให้บริการไม่กี่ร้าน เดินเข้าไปซื้อของ

แม่ค้าบ่นให้ฟังว่านับแต่เกิดเหตุพระผู้ใหญ่มั่วสีกา เสพเมถุน รวมถึงวัดพระบาทน้ำพุ นักท่องเที่ยวหรือชาวบ้านที่มาทำบุญน้อยมาก ยิ่งวันธรรมดามามากกว่า 20 คนถือว่าเยอะแล้ว หากมีเหตุพระชั้นผู้ใหญ่ทั้งระดับตำบล อำเภอ จังหวัด รวมถึงระดับชั้นสมเด็จ ทำเรื่องอื้อฉาวยังปรากฏให้เห็นอีก เชื่อว่าชาวบ้านคงเข้าวัดน้อยลง นอกจากจะส่งผลกระทบต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต่อพระพุทธศาสนาแล้ว

“ยังส่งผลกระทบถึงวัดและชาวบ้านที่ทำงานกับวัดอีกจำนวนมาก รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าที่เปิดร้านค้าทั้งภายในวัดและรอบๆ วัด จากที่เคยมีรายได้พอเลี้ยงชีพและครอบครัว แทบจะไม่มีรายได้ มีโอกาสที่จะตกงานสูง ร้านค้าต่างๆ คงต้องปิดกิจการ เพราะรายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย ที่มีทั้งค่าเช่าที่และใช้สอยในชีวิตประจำวัน” แม่ค้าคนเดิมระบุ

เสียงบ่นผสมกับความเห็นของแม่ค้าเป็นไปในทำนองเดียวกันทั้งสี่วัด ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพฯ เสียงแม่ค้ายังก้องอยู่ในความรู้สึกและกังวลว่าถ้า รัฐบาล มหาเถรสมาคม และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยังไม่เร่งดำเนินการอะไรเพื่อกู้ศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนให้กลับมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาดังเดิม เชื่อว่าคำทำนายที่แชร์ในสื่อโซเชียลว่าวัดจะร้างมีแนวโน้มสูง

แนวทางแรก “จอมมารน้อย” เชื่อว่าทำแล้วเห็นผลอย่างรวดเร็วนั่นคือ ประเดิมตรวจสอบประวัติพระสงฆ์ทุกสมณศักดิ์ ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร บวชเพื่อหนีคดีหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบพฤติกรรมต่างๆ ที่ส่อไปในทางขัดพระธรรมวินัย

โดยยึดกรณีสมีอลงกตเป็นตัวนำร่อง เพราะจากประวัติที่ปรากฏเป็นข่าว สมีอลงกตมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายฉ้อฉลตั้งแต่วัยหนุ่ม เปลี่ยนชื่อและสกุลให้คล้ายกับเพื่อนสมัยเรียน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร หลอกแม้กระทั่งวุฒิการศึกษา สถาบันการศึกษาที่เรียนจบแบบหน้าตาเฉย รวมถึงแสดงบทเศร้าเล่าความเท็จให้พุทธศาสนิกชนหลงเชื่อให้บริจาคปัจจัยแบบไม่ขาดสาย สร้างความร่ำรวยให้กับคนรอบข้างและเครือข่าย

ซึ่งพฤติกรรมลวงโลก ใช้ความศรัทธาของประชาชนแสวงหาผลประโยชน์แบบสมีอลงกต น่าจะยังมีในหมู่สงฆ์ เพราะมีตัวเลขจากตำรวจระบุว่ามีการร้องเรียนให้ตรวจสอบ 300-400 เรื่อง เพียงแต่วิธีการอาจจะแตกต่างกัน และเพื่อไม่ให้พฤติกรรมของพระสงฆ์เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของชาวบ้าน โดยเฉพาะมั่วสุมเสพยาเสพติดและเป็นเอเย่นต์ขายยาให้กับพระสงฆ์และวัยรุ่นละแวกวัด ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง ด้วยการตรวจปัสสาวะพระทุกรูป หากเจอว่าเสพยาจับสึกส่งเข้าสถานบำบัดทันที ไม่ว่าพระรูปนั้นจะมีสมณศักดิ์หรือพระบวชใหม่

ซึ่งแนวทางนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องไฟเขียวให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักพุทธฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวเรือใหญ่ดำเนินการ มีมหาเถรสมาคมคอยเป็นกำลังหนุนอันสำคัญ สำนักพุทธฯ ตำรวจ และฝ่ายปกครองเป็นผู้ปฏิบัติการ

ที่เสนอให้ครม.ไฟเขียว เพราะเป็นเรื่องสำคัญ มีความอ่อนไหวต่อความรู้สึกของประชาชนและพระสงฆ์สูงมาก แต่เพื่อกอบกู้ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระพุทธศาสนาที่กำลังดิ่งเหวกลับคืนมาโดยเร็ว คงต้องให้ครม.เป็นเจ้าภาพเท่านั้น

จึงอยากให้ “นายอนุทิน ชาญวีรกุล” นายกรัฐมนตรี บรรจุเป็นปัญหาที่ 5 ต้องแก้เร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์วัดจะร้าง ตามที่เกจิดังทำนายไว้!!!