ตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการตัดเขี้ยวอาชญากรข้ามชาติ

129

ปฏิบัติการตัดเขี้ยวอาชญากรข้ามชาติ

ขยายผลยึดกล่องพัสดุชาวจีน เจออุปกรณ์เครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ครบชุด

ตามนโยบาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายในการเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์  มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ในการรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.จตช. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร.รรท.ผบช.สอท. นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. สืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ จนนำมาสู่ผลการปฏิบัติในครั้งนี้ 

วันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.67  เวลา 14.00 น. ณ บริเวณชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ บช.สอท.นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร.รรท.ผบช.สอท., พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท.ผบก.สอท.3, นายสุธีระ พึ่งธรรม ผู้อำนวยการสำนักกิจการโทรคมนาคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลง ปฏิบัติการตัดเขี้ยวอาชญากรข้ามชาติ ขยายผลยึดกล่องพัสดุชาวจีน เจออุปกรณ์เครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ครบชุด

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 13 พ.ย.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.3 ร่วมกับเจ้าหน้าที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS ได้ร่วมกันจับกุม นายหยาง มู่ยี่  (MR.YANG MUYI) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน ในข้อหา “ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต, ตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต, ใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคม”

โดยครั้งนั้น นายหยาง มู่ยี่ ได้ขับรถนำเครื่องจำลองสถานีฐานปลอม (False Base Station) ตระเวนส่งข้อความ SMS ปลอมบนถนนย่านสุขุมวิท เพื่อลวงให้ประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเข้าไปกดลิงก์

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าสกัดรถและจับกุมตัวได้พร้อมชุดอุปกรณ์ บริเวณหน้าป้ายรถโดยสารประจำทาง ท่าสาย 23 ถนนลูกหลวง แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

ต่อมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. รรท.ผบช..สอท. ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท. ผบก.สอท.3 โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.คัมภีร์ พรหมสนธิ รอง ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน พ.ต.ท.ชนทัช วุฒิภัทรโสภณ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, พ.ต.ท.อโนทัย ดียิ่ง สว.กก.4 ฯ ปรก.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3,  ด.ต.วิเชียร ประคองสิน ผบ.หมู่ กก.3 ปรก.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3,จ.ส.ต.วสันต์ สุขนิล  ผบ.หมู่ กก.4 ปรก.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, ส.ต.อ.ยศพนธ์ จ่ายะสิทธิ์  ผบ.หมู่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ติดตามขยายผลกรณีดังกล่าวจนกระทั่งพบข้อมูลสำคัญที่นำไปสู่การขยายผลได้

โดยเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจพบข้อมูลว่า ได้มีพัสดุส่งมายังห้องพักของคอนโดแห่งหนึ่ง บริเวณ ถนนริมคลองสามเสน แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ที่นายหยาง มู่ยี่ เคยพักอาศัย

จึงร่วมกันเข้าตรวจสอบ พบพัสดุดังกล่าวอยู่ที่สำนักงานนิติบุคคล จึงได้ร่วมกันเปิดกล่องพัสดุโดยมีผู้จัดการนิติบุคคลเป็นพยาน

โดยภายในกล่องพัสดุ พบสิ่งของ ดังนี้ 

1. เครื่องวิทยุคมนาคม (False Base Station) สีดำ 1 เครื่อง

2. เครื่องกระจายสัญญาณ WIFI ยี่ห้อ XIAOMI สีขาว พร้อมอุปกรณ์ 1 เครื่อง

3. เสาสัญญาณ จำนวน 1 เครื่อง

4. เครื่องแปลงกระแสไฟ (อินเวอร์เตอร์) ขนาด 5000 W , 48 V , 220 V สีขาว 1 เครื่อง 

5. เครื่องชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 48 V, 15 Ah สีดำ 2 เครื่อง

6. เครื่องแบตเตอรี่ลิเธียม ขนาด 48 V, 300 Ah สีเงิน 1 เครื่อง

จากการตรวจสอบอุปกรณ์ดังกล่าว เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยตรวจยึดจากนายหยาง มู่ยี่ ในคดีข้างต้น ซึ่งมีความผิดตาม มาตรา 6 ของ พรบ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 “ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต” มีอัตราโทษ “ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินสองปี หรือทั้งจำทั้งปรับ” ตามมาตรา 23 และความผิดตาม พรบ.ศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 242 “ผู้ใดนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่มิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกไปจากยานพาหนะ คลังสินค้าทัณฑ์บนโรงพักสินค้า ที่มั่นคง ท่าเรือรับอนุญาต หรือเขตปลอดอากร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร” มีอัตราโทษ “จำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสีเท่าของราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับและให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่” โดยของกลางที่ตรวจยึดได้นำส่ง พนักงานสอบสวน บก.สอท.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปถึงตัวการผู้จ้างวานของขบวนการนี้ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามขบวนการดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วและเด็ดขาด ตลอดจนขอฝากประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนหากได้รับข้อความ (SMS) ในลักษณะแนบลิงก์ดังกล่าวข้างต้นห้ามกดลิงก์โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้

#Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์#ตำรวจไซเบอร์#ข่าวอาชญากรรมวันนี้