ด้วยเหตุมหาอุทกภัยในพื้นที่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา ขอให้ประชาชนและญาติพี่น้องที่ประสบภัย มีกำลังกายที่ดี กำลังใจที่ดี ฟันฝ่าอุปสรรคผ่านพ้นไปด้วยดี
“จอมมารน้อย”ขอเขียนถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ทุกรัฐบาลปล่อยคาราคาชังมากว่า 20 ปี กับการทุ่มงบประมาณไปกว่า 5 แสนล้าน แต่การแก้ปัญหายังไร้ผล เป็นครั้งสุดท้าย หลังเขียนสะท้อนปัญหามาหลายครั้งและ 3 ตอนที่นำเสนอไปแล้ว โดยข้อมูลที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นคำบอกเล่าของอดีตข้าราชการที่ปฏิบัติงานจริงในพื้นที่บวกกับประสบการณ์ตรงที่สัมผัสมา
3 ตอนที่แล้วได้นำเสนอถึงความไร้ศักยภาพในเชิงการข่าว มาตรการรักษาความปลอดภัยแบบหลวม รวมถึงผลประโยชน์ที่ บิ๊กข้าราชการได้รับทั้งแบบถูกต้องตามระเบียบและแบบทางอ้อมจากกลุ่มทุนที่ผูกขาดในการรับเหมางานต่างๆ รวมทั้งจัดซื้อจัดจ้างวิธีพิเศษ งานก่อสร้างมีไม่ถึง 5 บริษัทผูกขาด แต่จ่ายเงินทอนให้แบบหนำใจ รวมถึงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 ที่บรรดาบิ๊กเนมในอดีต ทั้งในกองทัพ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องคอยแก้ต่างข้อหาโกงชาติกันอยู่
ที่ยกมาเป็นเพียงผลประโยชน์ที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้ แต่เมื่อถึงบทสรุปสุดท้ายเมื่อจับไต๋ได้ว่ามีการทุจริต ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนส่งฟ้องดำเนินคดี จะจบลงแบบรอดตัวทุกราย โดยชาวบ้านได้พื้นที่ยืนมองตาปริบๆ
ตอนที่ 1 ได้บอกกล่าวว่านับแต่เกิดเหตุในปี 2547 ปัญหาความไม่สงบเกิดอย่างต่อเนื่อง จนคนไทยพุทธหลายพื้นที่ถูกกดดันให้ทิ้งถิ่นขายบ้านที่ดิน สวนยางพารา สวนผลไม้ อพยพออกนอกพื้นที่นั้นยังมีอย่างต่อเนื่อง อดีตบิ๊กราชการคนหนึ่งเล่าว่า ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่มีหลายมิติซ้อนกันอยู่ มีทั้งกลุ่มอยากแบ่งแยกดินแดนแต่ไร้ศักยภาพ แต่ไม่น่ากลัวเท่ากลุ่มแสวงหาผลประโยชน์ที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือปลุกคนในพื้นที่เกลียดชังกันในหมู่ไทยพุทธและมุสลิม ทั้งที่ในอดีตอยู่กันอย่างสมัครสมานสามัคคี
“คนกลุ่มนี้วางเป้าเข้าครอบครองอำนาจในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ หากสร้างความชังได้มากเท่าไหร่ คู่แข่งทางการเมืองที่เป็นไทยพุทธจะถอดใจถอยไปเอง ขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่ที่คนไทยพุทธบริหารมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์”อดีตบิ๊กราชการระบุและว่า ไม่น่าจะเกิน 4-5 ปีนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะไร้คนไทยพุทธบริหาร ถึงเวลานั้นคนไทยพุทธกลายเป็นประชากรชั้นสองและอาจจะทิ้งถิ่นมากขึ้นและอาจจะเหลือแค่ 1 ใน 100 ก็เป็นได้
อดีตบิ๊กราชการบอกว่า ถ้าจะแก้ปัญหาจริงเริ่มนับหนึ่งใหม่เลย ด้วยการโล๊ะคณะกรรมการชุดต่างๆที่มีอยู่หลายชุดทั้งสมัยเผด็จทหารและรัฐบาลพลเรือนตั้งขึ้นมาให้หมด แล้วตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นเพียงชุดเดียวโดยนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะร่างภาระหน้าที่ให้ชัดเจน ดึงหัวหน้าหน่วยในพื้นที่มาเป็นคณะกรรมการรวมถึงผู้นำศาสนาทั้งพุทธและมุสลิม ที่สำคัญจัดแถวข้าราชการทุกหน่วยใหม่ เปิดให้ข้าราชการที่ไม่อยากอยู่ในพื้นที่สมัครใจย้ายออก แล้วคัดสรรข้าราชการที่มีอุดมการณ์และเหลืออายุราชการไม่ต่ำกว่า 10 ปี เข้ารับหน้าที่แทน รวมถึงเลิกระบบทำโทษข้าราชการที่ประพฤติชั่วย้ายลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพราะรังแต่จะไปสร้างปัญหาให้กับชาวบ้าน
“เพื่อให้เกิดแรงจูงใจรัฐบาลต้องวางระบบสวัสดิการต่างๆแบบจัดเต็มให้กับข้าราชการที่สมัครใจไปปฏิบัติหน้าที่ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องแสวงหาผลประโยชน์จากชาวบ้านและงบประมาณของรัฐ ขณะเดียวกันวางระบบจัดซื้อจัดจ้างให้ชัดเจนโปร่งใสทุกโครงการประกาศให้สาธารณชนรับทราบ รวมถึงร่างกฎระเบียบแบบพิเศษเพื่อเอื้อให้การทำงานเกิดประโยชน์สูง แต่ทั้งนี้หากมีการประพฤติชั่วต้องลงโทษแบบเฉียบขาด พร้อมประจานให้สังคมรับรู้ ”อดีตบิ๊กข้าราชการระบุและว่าถ้าทำได้จริงปัญหาที่หมักหมม มากว่า 20 ปีคงจะเห็นแสงปลายอุโมงค์บ้าง
ฟังจากแนวทางที่นำเสนอ”จอมมารน้อย”อยากเสนอพ่วงเข้าไปด้วยว่าจากข้อมูลที่นำเสนอทั้ง 3 ตอน ถ้ารัฐจะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง น่าจะระดมอดีตข้าราชการระดับหัวหน้าหน่วยที่เกษียณอายุไปแล้วไม่เกิน 3 ปี ตั้งวงมาประชุมสะท้อนปัญหาในช่วงที่รับราชการพร้อมนำเสนอแนวทางแก้ไข
อีกวงระดมอดีตข้าราชการระดับปฏิบัติการในพื้นที่ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยลาดตระเวน หัวหน้าหน่วยมวลชนสัมพันธ์ หัวหน่วยข่าว และอีกกลุ่มเชิญ อดีตกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อดีตนายกอบต. นายกเทศมนตรี และ ส.อบจ. ประชุมสะท้อนปัญหาพร้อมนำเสนอแนวทางแก้ไข แล้วนำผลการประชุมทั้งสามกลุ่มมาประเมินผลวิเคราะห์วางแนวทางการแก้ปัญหา เหตุผลที่เสนอบุคคลที่เป็นอดีต เพราะกล้าที่จะสะท้อนปัญหาแบบตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องหวั่นเกรงจะกระทบหน้าที่การงาน และจะได้ข้อมูลชั้นเลศที่จะไปใช้เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างดี
เมื่อมองบริบทโดยรวมถึงแนวทางที่เสนอ อาจจะมองว่ามากด้วยอุดมคติทำได้ยาก แต่ถ้ามองถึงสภาพปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้จะพบว่ามีความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่จำนวนมาก จะใช้รูปแบบเดิมๆที่สูบผลประโยชน์กันท้องกาง ปัญหาจะย่ำอยู่กับที่และอาจจะถึงขั้นพื้นที่ 3จังหวัดชายแคนใต้ จะเหลือคนพุทธไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้
แม้จะเป็นการคาดการณ์ ก็ไม่อยากให้รัฐบาลและผู้มีอำนาจทั้งหลายประมาทว่าเอาอยู่ เพราะความเห็นที่นำเสนอล้วนเป็นประสบการณ์ตรงที่บรรดาอดีตข้าราชการในพื้นที่ได้สัมผัสมาและสะท้อนด้วยอาการห่วงใยไม่อยากให้ชาวไทยพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันด้วยความชัง จนเป็นเหตุให้ถึงขั้นต้องอพยพทิ้งถิ่นกัน !!!!
อ่านลิ้งค์ตอน1-3ที่นี่