การแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)-สารวัตร(สว.) ปีนี้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา เพราะกฎหมายตำรวจ 2565 มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ บัญญัติแนวทางการแต่งตั้งโยกย้ายไว้อย่างเข้มข้นกว่าทุกฉบับที่ผ่านมา
โดยเฉพาะการกำหนดบทลงโทษกับผู้มีอำนาจที่จะเข้ามาล้วงลูกสั่งการให้แหกกฎกติกาเพื่อให้ตำรวจในสังกัดได้ผงาดตำแหน่งตามที่มุ่งหวัง พร้อมเปิดทางให้ตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมร้องขอความเป็นธรรมได้อย่างรวดเร็ว ๆซึ่ง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ กรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ความเห็นโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า สิ่งสำคัญที่ผู้มีอำนาจและผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจในการแต่งตั้งทุกระดับต้องตระหนักมีดังนี้
ประการแรก บริบทและเจตนารมณ์กฎหมายต่างๆไม่ว่าจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 และ พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 กฎก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งตำรวจ 2567 การแต่งตั้งต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรม คำนึงถึงอาวุโส ความรู้ความสามรารถ กำหนดไว้ชัดเจน มิให้ผู้ใดใช้อำนาจหรือกระทำการโดยมิชอบ ประการที่สอง พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 กำหนดให้มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ(ก.พ.ค.ตร.) ตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้ง ร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.ตร. คำวินิจฉัยเป็นที่สุด เพื่อพิทักษ์คุณธรรมและเป็นที่พึ่งของตำรวจ
ประการสุดท้าย ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจในการแต่งตั้ง หากไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การแต่งตั้ง เป็นเหตุให้มีผู้ร้องทุกข์เกิดความเสียหาย ให้ถือว่าเป็นความผิดวินัยหรือผิดวินัยร้ายแรง ลงโทษได้โดยไม่ต้องตั้งกรรมการสอบสวนหรืออาจจะถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาฐานกระทำการต่างๆโดยมิชอบ เกี่ยวกับการแต่งตั้งตำรวจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
พล.ต.อ.เอก ระบุอีกว่า กระบวนการแต่งตั้งต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ เริ่มตั้งแต่เสนอชื่อผู้ที่จะเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จากผู้บังคับบัญชาตามลำดับ เริ่มจากสถานี กองกำกับการ กองบัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากมีการสั่งการ(ตั๋ว)จากผู้บังคับบัญชาระดับสูงไปยังผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดให้เสนอชื่อคนที่สั่งลงไป ถือว่าทำผิดกฎหมาย
“การพิจารณาของผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ต้องประชุมในรูปแบบคณะกรรมการร่วมกับรองหัวหน้าหน่วยทุกคน ต้องบันทึกการประชุม ตามข้อเท็จจริงประกอบเหตุผลอ้างอิงต่างๆอย่างถูกต้อง” พล.ต.อ.เอกระบุและว่าหากการประชุมมิได้เกิดขึ้นจริงแล้วให้ลงชื่อหรือให้ลงชื่อในกระดาษแผ่นสุดท้ายโดยไปจัดทำรายงานการประชุมภายหลัง เป็นการกระทำผิดกฎหมาย
ข้อความที่ พล.ต.อ.เอก โพสต์ฯ ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นการเตือนสติล้วนๆถึงผู้มีอำนาจที่มีกำลังภายในออกตั๋วฝากและผู้มีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายเท่านั้น เสมือนเป็นการสื่อว่าให้กลุ่มหรือบุคคลเหล่านี้ลบภาพจำในอดีตว่าจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้แล้ว
เพราะห้วงเวลานี้ชาวสีกากีทั้งส่วนกลางและภูธร ต่างคลำทางวิ่งเต้นเข้าหาผู้มีอำนาจทั้งซีกการเมืองและผู้มีอิทธิพลวงการต่างๆที่บิ๊กตำรวจเกรงใจ เพื่อขอตั๋วเป็นใบเบิกทาง ดูเหมือนว่าบ้านจันทร์หล้า และบ้านใหญ่บุรีรัมย์ เนื้อหอมที่สุด
ที่ตามมาติดๆนักเรียนนายร้อยตำรวจ(นรต.)26 รุ่นเดียวกับนายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะพล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้การกองปราบปราม เพื่อนร่วมรุ่นที่นายทักษิณ ไว้วางใจที่สุดดึงไปนั่งผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ขับเคลื่อนออกหวยบนดินสร้างรายได้ให้รัฐบาลมหาศาล
มาถึงยุคนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้ง พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ เป็นที่ปรึกษามอบหมายให้ดูแลสำนักปทุมวัน
ปรากฏการณ์ที่ยกมาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคนี้ แต่เกิดขึ้นมาจนเป็นความเคยชินของชาวสีกากีและผู้มีอำนาจแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครแต่ละยุคเท่านั้น เหมือนในยุคที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีถึงขั้นพูดในที่ประชุมส.ส.เพื่อไทย ว่ามีคนฝากเยอะตำแหน่งน้อย มีสมหวังบ้างผิดหวังบ้าง เป็นช่วงที่กฎหมายตำรวจ 2565 ยังไม่ได้บังคับใช้เต็มรูปแบบ จึงไม่เห็นการร้องเรียนของตำรวจ ยกเว้นถูกร้องที่ตั้ง ผบ.ตร.เท่านั้น
แต่ครั้งนี้องค์ประกอบของกฎหมายครบถ้วนแล้วพร้อมรองรับการร้องเรียนของตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและเห็นรวดเร็วกว่าเดิมแถมบทลงโทษถึงขั้นติดคุกอีกด้วย
ดังนั้นการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายต้องติดบ่วง นายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยตรงตามกฎหมายกำหนด ต้องมอบนโยบายที่ชัดเจนให้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร.จัดทำโผแต่งตั้งโยกย้ายแบบยึดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด พิจารณาตามหลักเกณฑ์ ตั๋วฝากที่อ้างว่ามาจากบิ๊กหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้หรือสาถาบันต่างๆวางไว้ข้างๆ เว้นแต่ชื่อในตั๋วมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ถึงหยิบขึ้นพิจารณา
หาก ผบ.ตร.จัดทัพสีกากีแบบมีอิสระ ย่อมต้องสั่งให้ทุกบช.เคร่งครัดกับกฎหมาย เมื่อผู้นำหน่วยมีโอกาสบริหารงานบุคคลอย่างมีอิสระย่อมที่จะเลือกใช้คนให้ถูกกับงาน เมื่อการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นธรรม นอกจากจะสร้างความขวัญกำลังใจให้กับตำรวจแล้ว จะเป็นตัวช่วยการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนเห็นผลแบบทันตาด้วย เท่ากับเป็นการสร้างผลงานให้กับรัฐบาลไปโดยปริยาย
ถ้านายกรัฐมนตรียังยึดแบบเดิมๆตั๋วคือใบเบิกทางสำคัญ โอกาสที่จะถูกร้องเรียนดำเนินคดีย่อมมีสูง แม้จะอ้างว่าไม่เกี่ยวเพราะมอบให้รองนายกรัฐมนตรีไปกำกับดูแลแล้วก็ปฏิเสธลำบากเพราะกฎหมายตำรวจฉบับนี้กำหนดไว้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรี ต้องกำกับดูแลเอง ที่สำคัญเพื่อปิดประตูไม่ให้การแต่งตั้งโยกย้ายถูกแทรกแซง ก.ตร.ทุกคนต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะไม่เป็นตรายางลงมติเห็นชอบ หากมีการขอมติเพื่อยกเว้นการใช้กฎกติกาการแต่งตั้งโยกย้าย เอื้อให้กับบรรดาตำรวจที่มาพร้อมกับตั๋วฝาก
หากทำได้จริงเชื่อว่าการแต่งตั้งโยกย้าย รอง ผบ.ตร.-สว. ครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของสำนักสีกากีที่ต้องบันทึกไว้ !!!