นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ กทม. เสนอให้ออกกฎหมายยกเลิกสมาชิกสภาเขต กทม.ว่า สมาชิกสภาเขตถือเป็นผู้แทนของประชาชนระดับท้องถิ่นที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ประชาธิปัตย์จึงขอคัดค้านการยกเลิกสมาชิกสภาเขตที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และจะกลับไปใช้ระบบการแต่งตั้งประชาคมเขต โดยผู้อำนวยการเขตคัดเลือกกันเอง ในขณะที่บ้านเมืองกำลังเดินเข้าสู่ประชาธิปไตยจะมีการเลือกตั้ง กลับมีการปิดกั้นไม่ให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น คือ สมาชิกสภาเขต และเปิดโอกาสให้ผู้อำนวยการเขตแต่งตั้งคัดเลือกกันเอง เป็นการกระทำที่ไม่ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะตลอดสามสิบปีที่มีสมาชิกสภาเขตได้ทำประโยชน์ให้กับประชาชนและพัฒนาพื้นที่ นำปัญหาประชาชนไปสู่การแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อรักษาผลประโยชน์ ของประชาชน
การยกเลิกจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน คือ
1. เป็นการตัดโอกาสประชาชนที่จะใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยที่จะได้อำนาจเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นตัวแทนที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด
2. ถือเป็นการถอยหลังเข้าคลองใช้การคัดเลือกแทนการเลือกตั้ง จึงไม่สามารถคาดหวังว่ากรรมการประชาคมเขตจะทำหน้าที่จริงจังในการรับใช้ประชาชนเหมือน ส.ข.ไม่ได้ เพราะจะทำงานเอาใจผู้อำนวยการเขตให้คัดเลือกตัวเองกลับมาทำงาน กระทบกับประชาชน
3. ทำให้ไม่มีการตรวจสอบผู้บริหารของสำนักงานเขต เพราะกรรมการประชาคมเขตแต่งตั้งกันเองย่อมไม่ตรวจสอบกันเอง จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ประชาธิปัตย์จึงขอคัดค้านการยกเลิกสมาชิกสภาเขต ส่วนที่อ้างว่า สข.เป็นหัวคะแนนนักการเมืองนั้นเป็นความเข้าใจผิด เพราะ สข.เป็นนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนในระดับเขต ซึ่งถือว่าใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด
“กทม.เปิดโอกาสให้แสดงความเห็นในร่างกฎหมายนี้ผ่านเว็บไซต์ของ กทม. พบว่าในส่วนของการยกเลิกสมาชิกสภาเขต มีช่องให้กากบาทเพียงแค่ช่องเห็นด้วย และอื่นๆ แต่ไม่มีช่องคำว่าไม่เห็นด้วย เป็นการชี้นำ เพราะควรมีทั้งช่องเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อีกทั้งยังให้แสดงความเห็นผ่านช่องทางนี้เพียงช่องทางเดียวถึงวันที่ 19 ก.ค.นี้ เท่านั้น ขณะที่ประชาชนไม่ได้รับทราบเป็นวงกว้าง จึงขอให้ กทม.เปิดรับฟังความเห็นให้กว้างกว่านี้ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง” นายองอาจ กล่าว
ต่อกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอดีต ส.ส. ของพรรคถูกดึงตัวจากพรรคการเมืองใหม่ที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายองอาจ กล่าวว่า เป็นสิทธิที่พรรคการเมืองใดก็ตามจะประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่ควรดำเนินการเมืองด้วยความโปร่งใส ตามบทบัญญัติของกฎหมาย การกระทำที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเดินหน้าเข้าสู่ประชาธิปไตย ผู้มีอำนาจต้องระมัดระวังการดำเนินการที่จะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกว่ามีความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองเกิดขึ้น เพราะเมื่อมีพรรคการเมืองประกาศสนับสนุนนายกรัฐมนตรี แม้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แสดงชัดเจนว่า จะยอมรับการสนับสนุนหรือไม่ แต่ก็ถูกมองได้ว่าอาจมีการดำเนินการที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางการเมืองเกิดขึ้น จึงต้องระวังในเรื่องนี้และดำเนินงานทางการเมืองอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อสร้างบรรยากาศไปสู่การเลือกตั้งที่สุจริต และเที่ยงธรรม
นายองอาจ ยังยืนยันด้วยว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีต ส.ส. ของพรรคที่ถูกทาบทามไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ด้วยนั้น นายอภิรักษ์ ไม่ได้ตัดสินใจที่จะออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปพรรคการเมืองใด และขณะนี้ใช้เวลาส่วนมากกับการทำธุรกิจมากกว่า ส่วนอนาคตต้องติดตามว่าจะทำงานการเมืองต่อไปหรือไม่ ส่วนการเดินสายดึงตัวอดีต ส.ส. จะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของผู้ที่รับผิดชอบต้องพิจารณาว่ามีการกระทำใดที่ขัดกฎหมายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม วิญญูชนที่ติดตามข่าวสารคงมองเห็นว่าปรากฏการณ์ทางการเมืองขณะนี้ก่อให้เกิดความได้เปรียบ เสียเปรียบทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับประชาชนในการตัดสินใจพิจารณาทางการเมืองว่าในอนาคตประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อมีโอกาสจะใช้สิทธิในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
“คสช. ควรเร่งหาข้อสรุปโดยนำเรื่องที่มีการหารือกับพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา ไปแก้ไขคำสั่ง คสช. หรือกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองตามกฎหมาย” นายองอาจ