เชื้อชั่วไม่มีวันตาย(2)


สติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุกที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เปิดประเด็นให้สังคมรับทราบถึงขบวนการรับส่วยของตำรวจทางหลวง


ยังอื้อฉาวต่อเนื่องล่าสุด พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เซ็นคำสั่งเด้งตำรวจระดับรองผกก.-รองสารวัตร-ชั้นประทวน 42 นาย อ้างว่าต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุก ในจำนวนตำรวจ 42 นาย ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ระดับ รองสารวัตรและชั้นประทวนเท่านั้นเสมือนเป็นระเบียบปฎิบัติที่ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกระดับ ยึดถือมายาวนานนั่นคือเมื่อมีเหตุอื้อฉาว จะต้องหาแพะมาเซ่นสังเวยให้สังคมเห็นว่าเอาจริง ลงโทษจริง แต่สุดท้ายมักจะเงียบหายไปกับสายลม
             

ถ้าหากมีหลักฐานเด็ดจริงก็จะจบลง แค่แบบระดับรองสารวัตรหรือชั้นประทวนออกจากราชการไว้ก่อน จากนั้นผู้บังคับบัญชาที่ได้รับประโยชน์ก็จะหาช่องทางให้ไปร้องขอความเป็นธรรม สุดท้ายกลับเข้ารับราชการเหมือนเดิม แถมย้อนหลังนับอายุราชการและให้เงินเดือนตกเบิกอีกต่างหาก
             
วัฎจักรแห่งความเลวร้ายนี้ในแวดวงสีกากีต่างรับทราบและปฎิบัติสืบต่อกันมายาวนาน ดังนั้นอย่าได้แปลกใจว่าทำไมส่วยทางหลวง ส่วยจราจร ส่วยยาเสพติดหรือส่วยในรูปแบบอื่นๆถึงยืนยงคู่กับตำรวจเสมอมา ซึ่งผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกยุคทุกสมัยต่างรับรู้กันดี แต่ไม่คิดที่จะแก้ปัญหาเพราะผลประโยชน์เหล่านี้สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองและบริวาร
             

ขอยกตัวอย่างสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุกหรือส่วยทางหลวง บทบาทสำคัญที่ขับเคลื่อนหาผลประโยชน์คือตำรวจทางหลวง เพราะมีอำนาจจับกุมรถที่ทำผิดกฎหมายและกฎจรจาจรบนถนนหลวงสายหลัก สายลอง ที่เชื่อมระหว่างภาค จังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ
         
ซึ่งบรรดาชาวสีกากีต่างทราบกันดีว่าเก้าอี้ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง มักจะถูกตีตราจองจากสายตรงของผู้นำสำนักปทุมวัน บางยุคก็เป็นสายตรงจากบิ๊กรัฐบาล  ขณะเดียวกันในดับรองผู้บังคับการ-ชั้นประทวน ล้วนมีปลอกคอทั้งสิ้น เพราะทุกครั้งที่ล้อรถสายตรวจทางหลวงหมุนหรือตั้งด่านก็จะมีรายได้ไหลเข้าเป็นกอบเป็นกำ
       
“บางสถานี หัวหน้าสถานีจะตั้งเป้าให้ตำรวจแต่ละนายที่ออกตรวจหรือตั้งด่านต้องทำยอดให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ ยังไม่นับรวมรายได้จากส่วยของรถบรรทุก รถโดยสาร หรือรถขนส่งอื่นๆที่จัดส่งกันเป็นรายเดือนอีกต่างหาก”

     
ซึ่งในตอนที่ 1 “เชื่อชั่วไม่มีวันตาย”  ได้ตั้งคำถามว่าบิ๊กตำรวจรู้หรือไม่ว่ามีขบวนการเก็บส่วยมีมายาวนาน ก็ตอบแบบไม่ต้องคิดว่า”รู้อยู่เต็มอก” ที่กล้าฟันธงว่ารู้อยู่เต็มอก เพราะถ้าตรวจสอบเส้นทางรับราชการของ อ.ตร.หรือผบ.ตร ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจะพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นนายเวรหรือหัวหน้าสำนักงาน ของ อ.ตร.หรือผบ.ตร.หรือ รองผบ.ตร. มาก่อนแทบทั้งสิ้น
   
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในแวดวงสีกากีว่าบรรดานายเวรหรือหัวหน้าสำนักงาน จะรับรู้ถึงเส้นทางรายรับที่ถูกจัดส่งจากหน่วยงานต่างๆมาถึงสำนักงานผู้นำสำนักสีกากีเป็นอย่างดี บางยุคนายเวรหรือหัวหน้าสำนักงานจะมีบทบาทในการจัดโผโยกย้ายให้เครือข่ายของนาย ไปนั่งคุมเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์อีกต่างหาก
   
ถ้ามองตามบริบทที่กล่าวมาพอสะท้อนให้เห็นว่าส่วยหรือสติ๊กเกอร์ส่วยในรูปแบบต่างๆอยู่คู่สำนักปทุมวันมานาน แต่ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกยุคทุกสมัยไม่เคยคิดที่จะแก้ไขอย่างจริงจัง เว้นแต่จะมีเหตุขัดแย้งกันเองในเรื่องผลประโยชน์ระหว่างผู้เก็บส่วยกับผู้ส่งส่วย และผู้รับส่วย แล้วออกมาแฉผ่านสื่อหรือร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการปราบปรามการทุจริต    
   
ถึงเวลานั้น ผบ.ตร.หรือผู้บัญชาการ ก็จะออกอาการทำทีเป็นขึงขัง สั่งเด้งผู้เกี่ยวข้อง พร้อมตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน แล้วจบลงที่ตำรวจชั้นผู้น้อยคือแพะบูชายัญ เป็นเหตุการณ์ที่ชินตาสำหรับชาวสีกากีและประชาชนทั่วไป  ซึ่งกรณีสั่งเด้ง 42 ตำรวจทางหลวงอาจจะซ้ำรอยเดิมก็เป็นได้
       
“เปรียบได้เสมือนกับเชื้อชั่วแม้ฆ่าก็ไม่มีวันตาย แม้บางยุคผู้มีอำนาจเคยลงมือฆ่า สุดท้ายกลับพ่ายและแถมไปเดินอยู่ในวังวนของเชื้อชั่วนี้อีกต่างหาก”
   

ดังนั้นปัญหาสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุกหรือส่วยในรูปแบบต่างๆในระบบราชการ ที่”วิโรจน์ ลักขณาอดิศร”เดินหน้าเก็บข้อมูลหวังจะใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้หมดไปนั้น ถ้าจะให้บรรลุผลพรรคก้าวไกลต้องเป็นรัฐบาลและมีอำนาจเต็มเท่านั้น เพราะเชื้อชั่วตัวนี้มันฝังรากเกาะกินสังคมไทยมานาน
   
ดังนั้น ณ เวลานี้ โอกาสที่เชื้อชั่วจะถูกฆ่าให้ตายด้วยฝีมือของรัฐบาลที่มีก้าวไกลเป็นแกนนำคงริบหรี่ เพราะเส้นทางขึ้นสู่อำนาจล้วนเต็มไปด้วยขวากหนาม  จึงขอทำนายว่าถ้าพรรคก้าวไกลไปไม่ถึงฝั่งฝันและกลายเป็นฝ่ายค้าน เชื้อชั่วก็จะไม่มีวันตายเช่นกัน!!!

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img