นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ตามที่จะมีการเปิดประมูลแหล่งพลังงาน บงกช และ เอราวัณ ก็อยากให้รัฐบาลคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศ และเห็นควรที่จะนำก๊าซขึ้นมาใช้ก่อนที่อนาคตการใช้พลังงานของโลกจะเปลี่ยนไป ทั้งนี้ จากการติดตามนโยบายพลังงานของรัฐบาล พบว่า รัฐบาลกำลังเดินผิดทาง สวนกระแสกับทิศทางของโลก โดยกระทรวงพลังงานได้ประกาศหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็นเวลา 5 ปี โดยเฉพาะไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ และ พลังลม ซึ่งสวนกับกระแสของโลกที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและมีต้นทุนลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของไทยต้องหยุดชะงัก ขนาดในประเทศอังกฤษยังติดตั้งแผงโซล่าร์ผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดให้กับประชาชนรายได้น้อยฟรี 800,000 ครอบครัว และรัฐบาลยังรับซื้อไฟฟ้าในราคา Feed-in-tariff ด้วย
นายพิชัย กล่าวต่อไปว่า อีกทั้ง การที่แผนนโยบายพีดีพีใหม่ ที่จะให้ กฟผ ผลิตไฟฟ้าในสัดส่วน 51% จะยิ่งเป็นการย้อนยุค เพราะควรจะส่งเสริมให้เอกชนดำเนินการมากกว่าเพราะมีประสิทธิภาพกว่า ในต่างประเทศที่เจริญแล้วเขาก็ส่งเสริมให้เอกชนทำ และก็มีระบบที่ดีควบคุม ไม่ต้องกังวลเรื่องความมั่นคง เพราะเอกชนเองก็คงไม่อยากล้มละลายหากมีปัญหาการผลิตไฟฟ้า
การส่งเสริมให้ กฟผ. ผลิตมากขึ้นนี้ ไม่แน่ใจว่าจะ เท่ากับ เป็นการส่งเสริมให้ใช้ถ่านหินมากยิ่งขึ้นหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันทิศทางของโลกผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินน้อยลงแล้ว แต่ประเทศไทยยังพยายามจะผลักดันการใช้ถ่านหินอยู่ พร้อมกับ ข้อสงสัยว่ามีการทุจริตการซื้อหุ้นเหมืองถ่านหินในอินโดนิเซียที่ไม่สมเหตุสมผล จ่ายเงินหมื่นกว่าล้านแต่ได้หุ้นแค่ 11-12% เท่านั้น และข้อครหาการจัดซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหินในราคามหาโหดแพงกว่าปกติเป็นเท่าๆ
“จึงอยากให้มีการตรวจสอบให้แน่ชัด และอยากให้ทบทวนนโยบายและแผนพีดีพีเสียใหม่ ไม่อยากให้มีการกำหนดนโยบายพลังงานของประเทศผิดทิศทาง เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเท่านั้น ประเทศจะเสียหายอย่างมากในอนาคต ทั้งนี้นโยบายพลังงานของพรรคเพื่อไทยจะสอดคล้องกับทิศทางของโลก เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และจะมีการตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นในทุกโครงการพลังงานของรัฐบาลนี้” นายพิชัย กล่าว