เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2564 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผย กรณีมีการเสนอข่าวว่า นายตำรวจที่ปล่อยคลิปวงจรปิด พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ ผู้ต้องหาร่วมกันกับพวกรวม 7 คน ทำร้ายร่างกายโดยซ้อมผู้ต้องหาคดียาเสพติดเสียชีวิต จมน้ำเสียชีวิตว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากว่า ตำรวจที่อยู่ในภาพไม่ได้อยู่สังกัด สภ.เมืองนครสวรรค์ ส่วนคลิปวงจรปิดนั้น ทางตำรวจไม่ได้รับจากตำรวจชั้นผู้น้อย แต่ได้รับจากบุคคลภายนอก ไม่ใช่ข้าราชการตำรวจ พร้อมย้ำว่า ข่าวดังกล่าวเป็น ข่าวปลอม หรือ Fake News เพราะตรวจสอบแล้วไม่พบว่า มีนายตำรวจจมน้ำเสียชีวิต
สำหรับกรณีข่าวดังกล่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า มีตำรวจสายตรวจ ชื่อ นายทศพร แก้วเกิด หรือ หมวดยิ้ม เป็นคนกู้ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดที่ ผู้กำกับโจ้ สั่งให้ลูกน้องลบทิ้ง จมน้ำเสียชีวิตที่หน้าบ้านตัวเอง เมื่อเวลา 05.30 น. ทั้งนี้ของย้ำว่า ข่าวนี้ ไม่เป็นความจริง เตรียมหาคนปล่อยมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) ได้ส่งคลิปเสียงแจ้งสื่อมวลชนเป็นการเร่งด่วนว่า กรณีดังกล่าวยืนยันเป็นข่าวปลอม โดยขณะนี้ทีมประชาสัมพันธ์ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ กำลังเร่งดำเนินการทำเอกสารชี้แจงข่าวดังกล่าวเพื่อเผยแพร่ให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้ง
พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยัน ว่า กรณีที่มีการส่งต่อข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า “ร่วมส่งฮีโร่ ขึ้นสวรรค์ หมวดยิ้ม นายทศพร แก้วเกิด” สายตรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้กู้ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด ผกก.โจ้ จมน้ำเสียชีวิต นั้น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงานจาก ตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ ว่า ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า เป็นข่าวปลอม เนื่องจาก สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ และ ตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ ไม่มีข้าราชการ ชื่อ-นามสกุล ดังกล่าว อีกทั้งไม่มีข้าราชการตำรวจในสังกัด สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด
รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2), (5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยกรณีดังกล่าว สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้วตามคดีอาญาที่ 1171/2564 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2564 ซึ่งจะได้สืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสข่าวผ่าน 5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”