หน้าแรกกระบวนการยุติธรรม“พล.ต.ท.อำนวย” อดีตปรมาจารย์ทางกฎหมายของ ตร.โพสต์เฟซบุ๊ค ขอความเป็นธรรม ป้ององค์กร ชี้! สังคม ขยี้ เติมสี ตีไข่ คดีอดีต ‘ผกก.โจ้’

“พล.ต.ท.อำนวย” อดีตปรมาจารย์ทางกฎหมายของ ตร.โพสต์เฟซบุ๊ค ขอความเป็นธรรม ป้ององค์กร ชี้! สังคม ขยี้ เติมสี ตีไข่ คดีอดีต ‘ผกก.โจ้’

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวไทยแทบลอยด์ รายงานว่า พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน กรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านกระบวนการยุติธรรม ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ค ส่วนตัว มีใจความว่า ขอความเป็นธรรม ให้ตำรวจด้วยครับ  เมื่อคืนนี้กระผมดูข่าวทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง พิธีกรเป็นหญิงกับชาย มีอดีตนายตำรวจนายหนึ่งไปร่วมสังฆกรรมยำสำนักงานตำรวจแห่งชาติพูดเป็นทำนองว่า คดีผู้กำกับโจ้ มีการจัดฉากสร้างนิยาย เล่านิทานเขียนบทพล็อตเรื่องมาหลอกประชาชน พิธีกรและผู้ร่วมรายการแสดงความรู้ทางกฎหมาย การสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแบบทะลุฟ้า ทะลุดิน แม้กระทั่งพิธีกรหญิงฟังแล้วเหมือนกับเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์สอนระดับปริญญาเอก ต้องเป็นความผิดร่วมกันฆ่า โดยวิธีการทารุณโหดร้ายเท่านั้น ต้องประหารชีวิตอย่างเดียว

ตำรวจแจ้งข้อหาครบหรือเปล่า? การแถลงข่าว ทำไมต้องตัดบทไม่ปล่อยให้ซักถาม ในรายละเอียด ทำไมปล่อยให้ ผู้กำกับโจ้ ออกมาแก้ตัวว่า ไม่มีเจตนาฆ่า ไม่ได้เรียกเงิน รับผิดแทนลูกน้อง ไม่มีอะไรจะต่อว่า จะกล่าวหา จะให้ร้ายแล้ว หมดมุกก็ยังอุตส่าห์กล่าวหา  ผบ.ตร. ว่า ทำไมขณะแถลงข่าว ไม่ถือโทรศัพท์เอง  (ให้ ร.ต.ท.หญิง ภัทรศยา ฤกษ์รัตน์ ถือโทรศัพท์เพื่อให้เสียงเข้าไมค์) ไม่ใช่โดยเฉพาะคำพูด สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียงของพิธีกรมันบ่งบอก ตอกย้ำ ซ้ำเติม

ส่วนอดีตนายตำรวจคนนี้ ถ้ากระผมไม่รู้จักมาก่อนจะไม่เชื่อเลยว่า เป็นอดีตตำรวจ เพราะออกมาพูดทุกครั้งไม่เคยเลยที่จะพูดถึงตำรวจในแง่ดีสร้างสรรค์…ติเพื่อก่อ เอาเถอะถึงจะพูดแต่แง่ลบก็ขอให้พูดความจริงก็ยังพอรับได้ แต่นี้ทำตัวเป็นคนขายน้ำแข็งหลอด

กระผมเอง เขียนบทความมาก็หลายเรื่องซึ่ง 90% เป็นเรื่องของตำรวจ ท่านลองกลับไปอ่านดูเถอะครับ ผมไม่เคยชม ไม่เคยปกป้อง มีแต่นประสบการณ์ในการรับราชการตำรวจมาแชร์ให้กับตำรวจรุ่นหลัง ได้นำไปใช้ในการอำนวยความยุติธรรม ในทางอาญาให้มีประสิทธิภาพ เพราะกระผมยังรับเงินบำนาญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่  ผมเลยไม่แน่ใจว่า นายตำรวจคนนั้นกินบำนาญตำรวจอยู่หรือไม่? (1.) คดีนี้มีคลิปบันทึกภาพและเสียงขณะเกิดเหตุถือเป็นพยานวัตถุชิ้นสำคัญในคดี เพียงแต่สอบพยานหลักฐานอื่นประกอบให้ชัด ศาล ก็น่าที่จะพิจารณาได้แล้วว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น อย่างไร? (ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร?) เมื่อเห็นการกระทำ หรือที่ทางกฎหมายเรียกว่า “กรรม” แล้ว ก็จะสามารถชี้ไปถึงเจตนา (กรรมเป็นเครื่องขี้เจตนา)

เมื่อชัดเจนแล้วก็ต้องมาดูต่อว่า เป็นการกระทำโดยเจตนาหรือไม่? “เจตูนาประสงค์ต่อผล” หรือ “เจตนาเล็งเห็นผล” คดีนี้ถ้าจะมีเจตนาฆ่าก็จะเป็นเจตนาเล็งเห็นผล/ (ไม่ได้มีเจตนาจะให้ตาย แต่การกระทำเช่นนั้นวิญญูชนคนทั่วไปเห็นได้ว่า อาจทำให้ถึงตายได้) ในประเด็นนี้มีการนำคำพิพากษาศาลฎีกาปี พ.ศ.2560 มาเทียบเคียง จำเลย ใช้ถุงดำครอบศีรษะผู้ตายจนขาดอากาศหายใจถึงแก่ความตาย ซึ่งศาลพิพากษาว่า มีเจตนาฆ่า (เจตนาเล็งเห็นผล)

ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีบางส่วน มีข้อเท็จจริงที่แตกต่างในสาระสำคัญกับคดีผู้กำกับโจ้ เช่น ในคดีตามฎีกา จำเลย เอาเทปกาวพันรอบถุงดำด้วยก็แสดงว่าไม่ต้องการให้อากาศเข้าออกได้ ซึ่งต่างจากคดีนี้เอาถุงดำครอบหัวและจะต้องขอคำตอบเป็นระยะ ซึ่งแปลว่า ต้องเปิดถุงดำเป็นระยะเพื่อฟังคำตอบ และเมื่อผู้ตายหมดสติไป ผู้กระทำผิดก็ได้พยายามกู้ชีพผู้ตายอีกประการหนึ่งซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นที่ประจักษ์ (ในคลิปก็ปรากฎ) สำหรับข้อยุติในประเด็นนี้ คงต้องให้เป็นหน้าที่ของ ศาล ที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณา

อานุภาพของคลิปบันทึกภาพจากวงจรปิด ถือเป็นพยานหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่จะป้องกัน ปราบปราม และอำนวยความยุติธรรมในทางอาญาได้เป็นอย่างดี การติดตั้งวงจรปิดให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ก็เท่ากับว่า มีคนจ้องมองเห็นเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะกระทำผิด หากยังกล้ากระทำความผิดก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐาน ติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้ และเมื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาได้แล้วภาพเหตุการณ์ที่ปรากฎ ในวงจรปิดก็จะเป็น พยานหลักฐานสำคัญในการที่ศาลจะใช้ในการวินิจฉัยคดี

เหตุการณ์ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เสื้อเหลือง ยึดทำเนียบรัฐบาล เสื้อแดงก่อ เหตุวุ่นวายที่แยกสี่เสาเทเวศร์ กระผมเป็นทั้งผู้กล่าวหา และพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว วงจรปิดเป็นพยานหลักฐานชิ้นสำคัญที่ศาลนำไปพิจารณาพิพากษา  เพราะจะปรากฏทั้งภาพ และเสียงชัดเจน ใคร? ทำอะไร? ที่ไหน? เมื่อไหร่? อย่างไร? โดยไม่ต้องอธิบายเพียงแค่ ศาล สอบพยานประกอบ ดังนั้นคดีนี้ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ต้องสร้างประเด็น ไม่ต้องชี้นำ ไม่ต้องมาตั้งข้อรังเกียจ ตั้งข้อสงสัย จีบปากจีบคอ แสดงอาการ น้ำเสียง ท่าทางใด ๆ ให้เกิดข้อสงสัยขึ้นในสังคมอีกเลย

กระผมในฐานะคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านกระบวนการยุติธรรมต้องขอขอบคุณ ผบ.ตร. พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่ได้ดำเนินการแถลงข่าว ให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม กล่าวคือ โดยหลักห้ามจัดให้มีการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าว เพราะจะเป็นการประจานผู้ต้องหาซึ่งตามหลักกฎหมายสากล “ผู้ต้องหาทุกคนยังต้องถือว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า เขาเป็นผู้กระทำผิด ดังนั้นจะปฏิบัติกับเขาเยี่ยงผู้กระทำผิดมิได้” ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ข้อยกเว้นที่จะให้มีการแถลงข่าวได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ “มีความจำเป็น เพื่อประโยชน์สาธารณะ”

กรณีนี้ เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ การจัดแถลงข่าว ในรูปแบบที่จัดขึ้นจึงเป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมไม่เป็นการประจานผู้ต้องหา และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลตามสมควรแก่กรณี การที่ท่าน ผบ.ตร. ถามความสมัครใจของ ผู้กำกับโจ้ ว่าเต็มใจที่จะให้ข่าวหรือไม่ก่อนนั้น เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องครบถ้วนและคงฝากให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือปฏิบัติในการแถลงข่าว ในลักษณะนี้เสมอเหมือนกันในทุกคดี  อย่าให้มีลักษณะของการประจานผู้ต้องหา ในเมื่อคดีนั้นไม่มีความจำเป็น และไม่เกิดประโยชน์สาธารณะก็ไม่ควรนำออกมาแถลงข่าว  เช่น คนร้ายวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งลักทรัพย์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 ห่อ แล้วจับมานั่งแถลงข่าวให้เสียชื่อเสียงแก่ตัวผู้ถูกจับ และวงศ์สกุล

ส่วนการที่ ร้อยตำรวจโทหญิงนั่งถือโทรศัพท์แทน ผบ.ตร. จนเป็นประเด็น ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรเป็นประเด็นนั้น (น่าจะหาประเด็น

อื่นไม่ได้แล้ว) ขอบอกให้ทราบว่า ร้อยตำรวจโทหญิงคนดังกล่าว เป็นทีมงานประชาสมพันธ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการจัดแถลงข่าวในครั้งนี้ การถือโทรศัพท์เพื่อให้เสียงในการแถลงข่าวออกไปสู่สาธารณะจึงเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ทีมงานโฆษก ถ้า ผบ.ตร. ไปทำเองเท่ากับ ผบ.ตร.ไปแย่งงานในหน้าที่ของเด็กในทีมงาน โฆษกทำไม่ใช่หรือ หรือเป็นเพราะหลังการแถลงข่าวแล้ว ร้อยตำรวจโทหญิงคนนั้นเกิดโด่งดังขึ้นมาในโลกโซเชียล เลยไปอิจฉาเขาหรือไง!!! นั้น โชว์แค่ครึ่งใบหน้าเท่านั้นเอง บอกให้ก็ได้ชื่อหมวดไวกิ้ง  ร้องเพลงเพราะ ยิงปืนแม่น

ประเด็นที่ พลตำรวจเอก สุชาติ ธีระสวัสดิ์ สั่งเบรกการซักถาม ผู้กำกับโจ้ ด้วยเหตุผลเนื่องจากกลายเป็นการสอบปากคำ เป็นประเด็นในสำนวนการสอบสวน เป็นการก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้อง หากไม่เข้าใจให้กลับไปอ่านบทความเก่าที่กระผมเขียนเรื่องคดี น้องชมพู่  ซึ่งทนายลุงพลไปยื่นเรื่องกับกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรให้เรียก  ผบ.ตร. และพนักงานสอบสวนนำพยานหลักฐานมาขี้แจง ซึ่งถือเป็นการก้าวล่วงแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไปก่อนหน้านี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่หลักในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม/อำนวยความยุติธรรมในทางอาญา ซึ่งถือเป็นต้นทางแห่งความยุติธรรม นับได้ว่า เป็นองค์กรที่มีความสำคัญของบ้านของเมืองนี้

ขอทุกคนที่จะต้องช่วยกัน จรรโลงไว้ให้มีความมั่นคง น่าเชื่อถือศรัทธาหาใช่มาคอยเหยียบย่ำ ซ้ำเติม สาดสี ตีไข่ ใส่ความให้เสื่อมเสีย ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าศรัทธา ทำนองเดียวกับ วัดทุกวัด ก็เป็นสถานที่จรรโลงพุทธศาสนาเช่นกันทุกวัด ดังนั้นถ้ากระผมผ่านไปวัดมณฑป ตลิ่งชัน กระผมก็จะลงใส่บาตรทำบุญไม่ว่าทางวัดจะเผาหรือไม่เผาศพตำรวจก็ตาม ตำรวจ สน.ตสิ่งชัน ก็ยังคงไปตรวจตราดูแลความสงบเรียบร้อยวัดไก่เตี้ย วัดตลิ่งชัน วัดมณฑป อยู่เช่นเดิม การปฏิรูปตำรวจซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ก็เป็นความหวังที่จะทำให้องค์กรนี้ดีขึ้น

เมื่อวานนี้ (27 ส.ค. 2564 ) กระผมในฐานะกรรมาธิการได้เสนอ ในที่ประชุมให้เร่งพิจารณากฎหมายเพื่อการปฏิรูปตำรวจให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว ถ้าไม่เช่นนั้น สังคมจะทำการปฏิรูปคณะกรรมการปฏิรูปเสียเอง จนนำไปสู่การตั้ง คณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาในหัวข้อสำคัญคือองค์ประกอบของ ก.ตร. หลักเกณฑ์การแต่งตั้ง งานสอบสวนเป็นการเฉพาะ เพื่อให้การพิจารณากฎหมายเร็วขึ้นจึงควรจะช่วยกันไปเร่งรัดติดตามเรื่องการปฏิรูปตำรวจน่าจะดีเสียกว่า

ฝากเรียน อดีตนายตำรวจบุคคลที่กล่าวถึงข้างต้น และอีกคนหนึ่งข่าวว่า เป็นนายดาบตำรวจอยู่ทางภาคใต้ ลาออก ไปเล่นการเมืองท้องถิ่น ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ ออกมาให้ข่าวว่า วิธีการเอาถุงครอบศีรษะเขาทำกันมา 30 ปีแล้ว ไอ้คำว่า เขา มันคือคุณคนเดียวไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะ  ผมก็ไม่เคยทำอย่ามั่ว สรรพนาม ใช้คำว่า เขาไม่ได้ ถ้าคุณทำ คุณก็ต้องบอกว่า คุณ ฝากตำรวจช่วยไปสืบดูว่าเกิน 20 ปีแล้วยัง ถ้ายังให้เอาตัวมาดำเนินคดีด้วย กินเงินเดือนเบี้ยหวัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะข้าราชการบำนาญ ไม่ได้ห้ามท่านที่จะพูดในแง่ลบของตำรวจ ยิ่งดีซะอีกจะได้นำมาแก้ไข แต่ขอให้พูดความจริงบ้าง ไม่ขอให้พูดชม แต่อย่าพูดเท็จเท่านั้นพอ

กระผมทราบดีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่าน ผบ.ตร.  ทีมงานโมษกตำรวจ ชุดสืบสวนสอบสวนคดีนี้ คงไม่มีใครออกมาขี้แจง และจะกลายเป็นว่า การนิ่งเฉยเท่ากับเป็นการรับสารภาพ ยิ่งทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้น กระผมจึงขอออกมาขี้แจงทำความเข้าใจแทน องค์กรตำรวจ อันเป็นที่รักยิ่งโดยสุจริตใจ และหากพาดพิงถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน

กรรมการปฏิรูปประเทศ

ด้านกระบวนการยุติธรรม

28 สิงหาคม 2564 “โพสน์ดังกล่าวระบุ”

เฟซบุ๊ก พลตำรวจโท อำนวย นิ่มมโน

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img