อย่าให้ถึงจุดที่ ‘ตำรวจ’ ไม่กล้าแต่งเครื่องแบบออกจากบ้าน กลายเป็น New Normal
หน่วยงานที่ได้ชื่อว่า เป็นส่วนที่ปฏิบัติใกล้ชิด-สัมผัสประชาชนมากที่สุด คือ ตำรวจ มีคนเคยบอกไว้ว่า ตั้งแต่ลืมตายันเข้านอน หรือแม้กระทั่งนอนอยู่ ตำรวจล้วนเกี่ยวข้องในชีวิตคนเราทั้งสิ้น ลืมตา ตื่นมา ไปทำงานต้องเจอ จราจร ของหาย-ผจญเหตุลัก วิ่ง ชิงปล้น ก็ต้องพึ่งพาตำรวจ ประสบ อุบัติเหตุเจอเรื่องอะไรเดือดร้อนมาก็ขอให้บอก “ตำรวจ” คือ “นัมเบอร์วันของประชาชนเสมอ” แต่วันนี้ หนึ่งฉาก หนึ่งหน้างานที่หวยดันมาออกกับ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไทย คือ การทำหน้าที่รักษาพื้นที่ด้วยการใช้กำลังและอุปกรณ์แบบจัดเต็มราวกับน้อง ๆ สงครามกลางเมืองที่ไม่มีใครอยากให้เกิด
ย้อนไปตั้งแต่มีการชุมนุมใหญ่ ๆ เมื่อกลางปี 2563 บรรยากาศชุมนุม การเจรจาต่อรองมีมาทุกหน ทุกครั้ง เราจึงไม่ได้เห็นภาพการใช้กำลังหรืออุปกรณ์แบบจัดหนักมากเท่าไหร่ แต่ถ้าย้อนภาพปวดใจ พ่อ แม่ ผู้ปกครองจริง ๆ คงต้องบันทึกคืนวันที่ 16 ตุลาคม ที่มีการระดมฉีดน้ำผสมสารเคมีเป็นครั้งแรกใจกลางสยาม ท่ามกลางเด็กหญิง เด็กชาย ที่สวมใส่ชุดนักเรียนออกมา บางมีร่ม 1 คัน ไร้เกาะ-เครื่องมือป้องกันใด ๆ ไม่มีใครที่มีอาวุธแต่ภาพ นั้นเป็นภาพแรก ๆ ที่ตำรวจเริ่มถูกตั้งคำถามแบบเสียงดังที่สุดหนหนึ่ง เพราะการชุมนุมนั้นแทบจะเป็นเด็กมัธยมออกมาต่อสู้ตามความคิด ความเชื่อ ของพวกเขา แต่สิ่งที่เขาได้กลับไป คือ “ความทรงจำที่ไม่ดีต่อสีกากีใน พ.ศ.2563”
จากนั้นมา New Normal ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ก็เริ่มบังเกิดขึ้นในการมี “จีโน่” พร้อมกำลังหลายกองร้อย ปรากฏกายในอีกหลายม็อบ เช่น ที่รัฐสภาปรากฏการชุมนุมของสองขั้ว คือ ผู้สวมเสื้อเหลืองที่ขนจัดตั้งกันมา กับ กลุ่มประชาชนที่มาเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ผลคือ มีการใช้ความรุนแรงของคนสวมเสื้อสีหนึ่งทำร้ายคนกลุ่มหยุ่ง แต่ไม่มีบทบาทของเจ้าหน้าที่อยู่ในการห้ามทัพหรือรักษาบรรยากาศ แม้เหตุนั้นไม่ได้บานปลายแต่ก็เป็นอีกหนที่ตำรวจ ถูก “เครื่องหมายคำถาม” จากสังคมอีกหน จวบจนอีกหลายครั้ง หลายหน เริ่มปรากฏภาพสะเทือนใจคนเรื่อย ๆ เช่น กุมภาพันธ์ 2564 ที่สะพานวันชาติเราเห็นภาพการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฟาดไม่ยั้ง ไล่กวดผู้ชุมนุม มีกระสุนยาง มีสารพัดอุปกรณ์ สื่อมวลชนก็ไม่รอดโดนไปด้วย ภาพนี้ก็เริ่มเป็น New Normal ของเจ้าหน้าที่มาเรื่อย ๆ จวบจนเดือนปัจจุบันที่มีการนัดรวมตัวกันเช่น วันที่ 7 -22 สิงหาคม 2564 ที่ ดินแดง หนึ่งในเส้นทางการไปบ้านผู้นำคนปัจจุบันถูกรักษายิ่งชีพ ราวกับไข่ในหิน คอนเทรนเนอร์ที่ว่องไวกว่าประสิทธิภาพใด ๆของรัฐ บวกกับภาพที่ไม่เคยคิดจะเห็นก็ได้เห็น คือ การมีเจ้าหน้าที่ไปบนทางยกระดับ เหมือนภาพอดีตตอนปี 2553 ที่ ทหาร ไปอยู่บนรางรถไฟฟ้าแล้วเล็งยิงลงมา ยังหลอนสังคมไทยไม่หาย ตำรวจกลับมียุทธศาสตร์บนที่สูงย่ำซ้ำรอยเหมือนไม่เคยศึกษาบทเรียนประวัติศาสตร์ใด ๆ มา
ย้อนอดีตบ้านของนายกฯ ทั้งจันทร์ส่องหล้าของทักษิณ ชินวัตร บ้านในซอยสวัสดีของนายกฯ มาร์ค หรือ บ้านนายกฯ ปู ล้วนมีผู้ไปแสดงท่าทีและเสียงที่อยากส่งให้รัฐบาลของเขาได้ยินได้ฟัง ไปได้ทุกผู้นำ แม้กระทั่งบ้านของป๋าเปรม ก็เคยมีการแสดงออกของคนทางการเมืองมาแล้วทั้งนั้น ผู้ชุมนุม กลุ่มต่าง ๆ มาเหยียบมาเยือนถึงหน้าบ้านได้หมด แต่ผู้นำท่านนี้กลับเหมือนแดนสนธยา หากใครก้าวขาเข้ามาจะต้องพบกับความบาดเจ็บความรุนแรงรัวใส่ไม่ยั้ง จนบางครั้งคำว่า “มาตรฐานสากล” ของเจ้าหน้าที่กับคนทั่วไป หรือในระดับโลกเริ่มจะสะกดคำนี้ได้ไม่เหมือนกัน
ยังไม่นับรวมผลที่ตามมาป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกพังมาหลายหน แต่ค่ายทหารอันมีบ้านท่านผู้นำคนนี้อยู่ น้ำละอองฝอยจากจีโน่คงยังไม่กระเด็นไปถึงสักหยด เสียงของประชาชนที่ทวงถามมาตรการที่โหยหาความเหลียวแลจากรัฐที่คนในครอบครัวเขาต้องตาย คนที่เขาไม่มีจะกินออกมาเรียกร้องแสดงท่าทีให้รัฐได้เห็น กับเป็นไข่ในหินที่ยากจะได้ยินประชาชน
น่าปวดใจที่ภาพตำรวจปกป้องค่ายทหารยิ่งชีพ โดยมีการใช้ยุทธภัณฑ์ แต่ละวัน จัดเต็มอย่างที่มีผู้ให้ข้อมูลว่า กระสุน แก๊สน้ำตา ตกลูกละ 3 พัน นั่นเท่ากับราคาของวัคซีนดี ๆ ที่แม้แต่ครอบครัวตำรวจหลายคนก็ยังไม่ได้ฉีด เพราะวิสัยทัศน์ของผู้นำที่พวกคุณกำลังปกป้องบ้านของเขาทำให้เรามาถึงจุดนี้ จุดที่สูญเสียคนที่รัก จุดที่ต้องหมดตัวทางเศรษฐกิจ
คำถามที่อยากชวนคิด คือ “บรรยากาศการเจรจา” ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมันหายไปไหนแล้ว หากให้มีการแสดงสัญลักษณ์สัก30 นาทีแล้วก็แยกย้ายกลับไม่มีใครต้องเจ็บตัวจะเป็นไปได้หรือไม่ หรือต้องมียุทธวิธีใหม่ ๆ ในการปะทะกันแบบรายวัน จนทำให้ประชาชนจำนวนมากเสื่อมศรัทธาไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งอาจนำไปสู่การนองเลือด เผาสถานที่ราชการ ไปจนถึงประชาชนรังเกียจตำรวจ ไม่ซื้อ ไม่ขายของให้ จนการแต่งเครื่องแบบอาจเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ สิ่งเหล่านี้ผู้มีอำนาจตัดสินใจเคยไตร่ตรองดูหรือไม่ ว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาอึดอัดขนาดไหน หรือพอใจจะเสวยสุขบนอำนาจแบบนี้
อย่าปล่อยให้ New Normal นี้เกิดขึ้นเป็นวิถีใหม่ อย่าปล่อยให้เกิด “ความชินชา” กับ “การใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุม” วันนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนอย่างจริงจังและหยุดยั้งสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดได้