คำถาม ความรุนแรง ในการควบคุมฝูงชน ที่ทุกคนต้องถอดบทเรียน
การชุมนุมและการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการชุมนุมวันที่ 20 มีนาคม ยังคงตกอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ด้วยความที่ยุคนี้เป็นยุคแห่งโซเชียลมีเดีย คลิปวิดิโอหลายร้อยหลายพันได้ปรากฎสู่สายตาประชาชนเป็นล้าน ๆ ซึ่งดูเหมือนว่า หนึ่งในคลิปที่กระทบกระเทือนจิตใจประชาชนจำนวนไม่น้อย คือ เหตุการณ์บน “สะพานวันชาติ” สายตาหลายหลายคู่ที่ได้ดูคลิปดังกล่าว ล้วนพุ่งเป้าพร้อมตั้งคำถามเสียงดังๆ ไปถึง “การทำหน้าที่ของตำรวจควบคุมฝูงชน” ที่ไล่จับกุมกลุ่มผู้ชุมนุม จนมีบางส่วนต้องทิ้งรถจักรยานยนต์ บางส่วนวิ่งหนีไม่ทัน จากนั้นเกิดเหตุการณ์สหบาทาจากเจ้าหน้าที่มาสู่ประชาชนที่ล้มลงบนถนนก็เกิดขึ้น แถมด้วยกระบองและอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ว่าเหตุการณ์ ณ ตรงนั้นจะมีสื่ออยู่หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ภาพมุมสูงที่มีผู้บันทึกไว้ย่อมต้องการคำตอบว่า ใช้อารมณ์หรือกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ?
เหตุการณ์ความรุนแรงคืนวันที่ 20 มีนาคม หรือกระทั่ง ย้อนไป 28 กุมภาพันธ์ ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญต่อการย้อนไปตั้งคำถามทั้งต่อตัว เจ้าหน้าที่ ตัวผู้ชุมนุมและสื่อมวลชนเอง ว่า เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานเช่น #ตำรวจกระทืบหมอ หรือปฏิบัติการณ์ในระยะหลังๆ สังเกตได้ว่า เริ่มมีสัญญาณของความไม่สงบราบรื่น แม้ว่าการชุมนุมในยุคนี้จะเป็นการชุมนุมที่มีเวลาชัดเจนว่า ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง และจำนวนคนอาจไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน ซึ่งหมายความว่า การจัดการของเจ้าหน้าที่น่าจะทำได้ง่ายดายขึ้นหรือไม่อย่างไร ?
แต่ทำไมดูเสมือนว่า ในระยะหลังการตัดสินใจใช้รถฉีดน้ำ ไปจนถึงกระสุนยาง รวมถึงการไปรุมสกัมผู้ชุมนุมหรือใครก็ตามที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จะเกิดขึ้นถี่และง่ายกว่าการชุมนุมเดิม ที่สำคัญเสียงคำถามดังๆ ถึงการอ้างเรื่อง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกถามไปยังการปฏิบัติหน้าที่ต่อกลุ่มผู้ชุมุนมอีกกกลุ่มที่มีความคิดไม่เหมือนกันกับกลุ่มนี้ นี่จึงเป็นเรื่องที่ผู้รับผิดชอบไม่ควรละเลยต่อสิ่งที่สังคมสงสัย
สื่อมวลชนก็เช่นเดียวกันก็กลับกลายเป็นว่า ทำหน้าที่ได้ลำบากมากขึ้น เพราะหากนำเสนอไม่ดีไม่ถูกใจก็จะมีประชาชนโบกรถทัวร์มาลงไปจนถึงรณรงค์ในโซเชียลว่า “จรรยาบรรณ” ของสื่อคืออะไร ขณะที่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเองก็ถูกตั้งคำถามจากคนกลุ่มอื่นๆ รวมถึงการให้ข้อมูลจากนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง ให้ข่าวทำนองว่า เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงหรือไม่สงบ มีอาวุธ ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องตามสืบสวนจับกุมดำเนินคดีต่อไป แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้สังคม “หายสงสัย” ว่า ทำไมถึงได้ทำเกินกว่าเหตุในหลายกรณี
ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข กล่าวว่า ได้มีการตักเตือนและให้ปรับวิธีปฏิบัติกับหน่วยปฏิบัติ เพราะไม่อยากให้เกิดความรุนแรงเช่นนั้นอีก พร้อมกับขอโทษผู้ชุมนุมที่ตำรวจทำรุนแรงไปบ้าง แต่ถ้าหากดูในภาพรวมก็จะเข้าใจว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ยืนยันไม่ได้ปกป้องว่าตำรวจไม่ผิด แต่ขอให้ผู้ชุมนุมอย่าใช้ความรุนแรงอีก
ผู้นำประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งถึงเรื่องนี้ว่า สื่อรู้อยู่แล้วสถานการณ์จะแรงตอนไหน ทำไมจะเลี่ยงไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเขาเริ่มจะแรงกันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะปราบปราม สื่อก็ต้องไปถ่ายภาพข้างๆ ไม่ใช่ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเขาต้องทำงาน เขาประกาศแล้วไม่ใช่หรือ
ขณะที่ผู้สื่อข่าวช่องหนึ่ง ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากกระสุนยางพุ่งเข้าขมับในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเกิดเหตุก่อนจะถูกยิงได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่บริเวณแยกถนนข้าวสาร ขณะนั้นยอมรับว่า มีผู้ชุมนุมรายหนึ่งขว้างปาขวดใส่ตำรวจที่อยู่บริเวณแยกคอกวัว ก่อนพยายามจะวิ่งหลบเข้ามาที่กลุ่มสื่อมวลชน และ ประชาชนที่อยู่บริเวณดังกล่าว แต่ประชาชนในพื้นที่ได้ช่วยกันไล่ออกไป ทำให้ชายคนดังกล่าววิ่งหลบหนีออกไปจากพื้นที่ ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม แต่ในเวลาต่อมาตำรวจที่อยู่บริเวณแยกคอกวัว ก็ได้หันมาและเริ่มยิงกระสุนยางใส่ โดยที่ไม่ได้มีการให้สัญญาณ หรือแจ้งเตือนก่อนแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่า ขณะถูกยิงยังคงยืนอยู่ ไม่ได้ก้มหลบลงตามที่ทางตำรวจให้ข้อมูล เพราะไม่รู้ว่า ตำรวจจะยิงใส่กลุ่มตนเอง เนื่องจากในกลุ่มมีเพียงสื่อมวลชน และประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม
เหตุการณ์ราโชมอนที่เกิดขึ้นนี้ จากคำบอกเล่าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างกรรม ต่างสถานะ ต่างมุมมอง ล้วนชวนให้ครุ่นคิดว่า ทุกคน ทุกฝ่ายจะยับยั้งชั่งใจไม่ให้ความรุนแรงได้อย่างไร ? ก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า การสื่อสาร การเจรจา และการใช้ดุลยพินิจในการใช้อาวุธที่ควรเคร่งครัดปฏิบัติตามมาตรฐานสากลอย่างถึงที่สุด เพราะการปฏิบัติที่ถูกต้องจะเป็นเสมือนเกราะป้องกันในการทำหน้าที่ที่ถูกต้องเอง หากกระทำสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่แรก เหตุการณ์ที่หนักก็จักเบาลงได้ เช่นการใช้กระสุนยาง กฎระเบียบที่กำหนดชัดให้ยิงต่ำ เช่น บริเวณขา แต่ภาพที่ปรากฏและสิ่งที่สื่อถูกกระทำ คือ บริเวณศีรษะ – กลางหลัง ยังดีที่ไม่มีความสูญเสียใดๆ แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ควรจะปล่อยไว้ให้เป็นฟางเส้นสุดท้าย แล้วลุกลามไปเรื่องอื่นๆ ปัญหาอื่นๆ ที่ยากจะแก้กว่าเดิม