โดยผลผลิตในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 4.91 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 1.45 ซึ่งผลผลิตยางไทยคิดเป็น ร้อยละ 35-40 ของผลผลิตโลก โดยในช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมปกติแล้วจะเป็นช่วงที่ผลผลิตออกมากมากแต่ปัจจุบันผลผลิตน้อยลงเพราะมีฝนตกชุกและขาดแคลนแรงงานต่างด้าว
ซึ่งหลังจากนี้การยางแห่งประเทศไทย จะต้องเร่งประชาสัมพันธ์คุณภาพยางไทยให้เป็นที่รับรู้ของโลกว่าคุณภาพของไทยเหนือกว่าประเทศคู่แข่งเกือบทุกประเทศ ขณะที่ด้านการตลาดร้อยละ 85 ของผลผลิตยางไทยส่งออกไปต่างประเทศในปีที่ผ่านมา ส่งออกไปจำนวน 4.53 ล้านตัน โดยความต้องการใช้ยางของตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีน ทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมถุงมือยางและยางรถยนต์ และความต้องการใช้ในประเทศกระเตื้องขึ้น จากมาตรการส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ เช่น โครงการคอนกรีตหุ้มแผ่นยางและเหล็กนำทาง ซึ่งในอนาคตตั้งเป้าจะใช้ยางในประเทศให้มากขึ้นเป็น ร้อยละ 20 จากเดิมใช้เพียงร้อยละ 15
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมมือกับการยางแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนในการจับคู่ธุรกิจเพื่อเร่งรัดการส่งออกยางของไทย โดยดำเนินการมาตั้งแต่ 23 ก.ย.-1 ต.ค. 2563 ได้มีการจับคู่ธุรกิจไปแล้ว ถึง 69 คู่ มีการเจรจาระหว่างประเทศผู้นำเข้าทั้งหมด 20 ประเทศ และผู้ส่งออกของไทย 42 ราย 20 ประเทศประกอบด้วย จีน เกาหลี ไต้หวัน อินเดียย เช็ก ฝรั่งเศส ฮังการี รัสเซีย สหราชอาณาจักร มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา อินโดนีเซีย ตุรกี อียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐและอาร์เจนตินา มียอดการเซ็นต์สัญญาซื้อขายกว่า 23,000 ตัน มูลค่า 1,450 ล้านบาท และยังเหลือเวลาการจัดงานอีก 1 วัน คือวันที่ 2 ต.ค. คาดว่าจะทำยอดขายได้เพิ่มอีก โดยจะเร่งรัดให้มีการส่งมอบยางที่ได้ทำสัญญาการซื้อขายกับผู้นำเข้าไว้ก่อนที่โควิด-19 ระบาดที่ยังค้างส่งมอบอยู่ 500,000 ตัน มูลค่า 48,000 ล้านบาท