โดยรัฐบาลเมียนมาอนุญาตให้บริษัทต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของกิจการค้าปลีก-ค้าส่ง ได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องมีผู้ถือหุ้นเป็นชาวเมียนมา และยังมีการสนับสนุนการลงทุนของต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ประเทศไทยเองมองเมียนมา เป็นแหล่งทรัพยากรที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์และสามารถที่จะพัฒนาให้เกิดการต่อยอดมากยิ่งขึ้น โดยมีการใช้แรงงานภายในของเมียนมา ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชากรชาวเมียนมาได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ในช่วงที่เมียนมายังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 จึงถือเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดี ที่ประเทศไทยจะสามารถเข้าร่วมในการลงทุนได้
โดยปัจจุบัน เมียนมาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 18 ของไทยในโลก เป็นคู่ค้า อันดับ 7 ของไทยในกลุ่มอาเซียน และทั้งสองประเทศตั้งเป้าหมาย มูลค่าการค้า 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2565 ศูนย์ข้อมูล ทางเศรษฐกิจคาดการณ์ว่าในปี 2563 เมียนมาจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 6.7
แต่ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ของโลกในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไร้การสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ด้าน ได้แก่ การค้าออนไลน์ การแพทย์ออนไลน์ และระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าแนวโน้มรูปแบบธุรกิจในอนาคต คือ การลดการติดต่อสัมผัสระหว่างผู้คนให้น้อยที่สุด โดยแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ความโปร่งใสและตรวจสอบได้