การชุมนุมประท้วงของกลุ่มเยาวชนนิสิตนักศึกษานำโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “เยาวชนปลดแอก” หรือ “Free Youth” เริ่มจากแฟลชม็อบเล็ก ๆ มีคนร่วมหลักร้อย ก่อนจะลามไปตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ มีคนเข้าร่วมหลักหลายพันหรือเกือบหมื่นในครั้งล่าสุดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สร้างความตระหนกตกใจแก่บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งแน่นอน หมายรวมถึงชนชั้นปกครองที่ไม่เคยถูกท้าทายอย่างเปิดเผยแบบนี้มาก่อนด้วย!!!
การรวมตัวของเด็ก ๆ ครั้งนี้ แม้จะถูกดิสเครดิตจากบางฝ่ายว่า ถูกปั่นหัว ถูกล้างสมองโดยพรรคการเมืองบางพรรค ที่ “ชังชาติ” แต่ข้อสงสัยนั้นถูกตีตกไปด้วยภาพของการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนว่ามีแต่นักเรียนนักศึกษาที่บริหารจัดการกันเองอย่างเปิดเผย เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาว่า “ถูกจ้างมา” ที่ไร้น้ำหนัก ต่างจากการชุมนุมทางการเมืองครั้งที่ผ่าน ๆ มา ทำให้ฝ่ายความมั่นคงที่กุมอำนาจอยู่อาจจะต้องไปพลิกตำราเพื่อมารับมือกับ “ม๊อบมุ้งมิ้ง” เหล่านี้
ข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ในช่วงแรกมีเพียง 3 ข้อ ได้แก่ 1.ให้ยุบสภาทันที 2.ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย และ 3.ให้หยุดคุกคามประชาชน ซึ่งก็โดนใจผู้ใหญ่หลายคนที่เอือมระอากับกลุ่มพี่น้อง 3 ป.ที่ทำการรัฐประหาร รัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วอยู่ยาวมาถึง 6 ปี แถมยังวางแผนจะอยู่ยาวจนตายคาเก้าอี้เสียด้วย สร้างความเสียหายอย่างแสนสาหัสต่อเศรษฐกิจของประเทศ ท่ามกลางข้อครหาเรื่องทุจริตคอรัปชันที่หนักหน่วงกว่ารัฐบาลพลเรือนที่พวกตนไปยึดอำนาจมาเสียอีก
แต่ข้อเรียกร้องล่าสุดบนเวทีการชุมนุม โดยกลุ่ม “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ภายใต้ชื่อกิจกรรม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา เป็นการพูดถึงปัญหาและข้อเสนอแนะที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ท่ามกลางความตื่นตะลึงของคนรุ่นเก่าจำนวนมากที่เฝ้าติดตามชมกิจกรรมการชุมนุมของคนรุ่นใหม่เหล่านี้
แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ไม่สบายใจที่สุดคือรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า!!
ที่ผ่านมามาตรการในการรับมือกับคนที่เห็นต่างจากรัฐบาลของพี่น้อง 3 ป.ที่ดำเนินการมาตลอดตั้งแต่สมัยที่ยังเป็น คสช. คือการใช้กำปั้นเหล็ก ทั้งใช้กฎหมายที่รุนแรงและหนักหน่วงเกินเบอร์ และทั้งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ทั้งใน และนอกเครื่องแบบ เข้าไปควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดี หรือบางครั้งเพื่อ “ปรับทัศนคติ” ซึ่งต้องยอมรับว่า มาตรการที่รุนแรงดังกล่าวสามารถสยบกลุ่มคนที่เคยออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านได้จริง ทำให้หลายคนต้องติดคุก หรือไม่ก็ลี้ภัยออกไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่กับสถานการณ์ปัจจุบันมีความแตกต่างออกไป
กลุ่มที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ คสช. อาจจะมีนักกิจกรรมจากรั้วการศึกษาอยู่บ้าง เช่น จ่านิว หรือนายสิริวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล แต่ก็มีจำนวนไม่มาก ไม่เกินกำลังที่พี่น้อง 3 ป.จะรับมือ ต่างไปอย่างยิ่งกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ข้อรียกร้องล่าสุดของนักศึกษาอาจจะสร้างความไม่พอใจ หรือไม่สะดวกใจแก่หลายฝ่าย แต่นักวิชาการด้านกฎหมายหลายคนออกมามายืนยันว่า เป็นข้อเรียกร้องที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และเป็นสิ่งที่นานาชาติให้การยอมรับ
การใช้มาตรการรุนแรงแบบเดิม ๆ ของฝ่ายความมั่นคงภายใต้การสั่งการของ พี่น้อง 3 ป. เพื่อเข้ามาสยบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้เห็นต่างครั้งนี้จึงไม่ง่าย เพราะคนที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่ ณ ปัจจุบันไม่ใช่นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่กลุ่มการเมือง หรือนักกิจกรรมหน้าเดิม ๆ แต่เป็นพลังบริสุทธ์ของคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคตอันใกล้ เป็นลูก ๆ หลาน ๆ ของพวกเขาเอง ที่สำคัญคือเด็ก ๆ เหล่านี้มีจำนวนมาก และกระจายออยู่ทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ
สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำอย่างเร่งด่วนคือต้องเปิดเวทีรับฟังเสียงของพลังบริสุทธ์เหล่านี้อย่างจริงใจ และจริงจัง เพื่อหาทางออกร่วมกัน ไม่ใช่ปากบอกว่ารับฟังความเห็นของนักศึกษา แต่ในทางปฏิบัติกลับส่งเจ้าหน้าที่ไปอุ้มเด็ก ๆ มากักตัวไว้ เพื่อไม่ให้เขาจัดกิจกรรม หรือส่งเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบไปด้อม ๆ มอง ๆ บริเวณหอพักนักศึกษายามวิกาล จัดตั้งกลุ่มมวลชนขวาจัดเพื่อออกมาขู่นักเรียนนักศึกษา รวมทั้งส่งคนไปแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำบางคน
หาก พล.อ.ประยุทธและพี่น้อง 3 ป. ยังใช้วิธีคิดแบบเดิม ใช้อำนาจ ใช้ความรุนแรง เข้ามาจัดการกับความเคลื่อนไหวครั้งนี้ มันจะไม่ง่ายเหมือนอดีตที่ผ่านมา และน่าเป็นห่วงว่าเหตุการณ์ณ์จะบานปลาย กลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” และอาจเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหตุการณ์ “6 ตุลา 19”
แต่ครั้งนี้หากมันเกิดความรุนแรงขึ้นจริง บรรดาผู้ที่มือเปื้อนเลือดทั้งหลายจะไม่ลอยนวลเหมือนฆาตกรรุ่นพี่แน่ ๆ แต่จะถูกพี่น้องประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาทวงความยุติธรรมให้กับลูกหลานของพวกเขา และจุดจบของผู้สั่งการไม่ตายในคุกก็ต้องหนีไปตายที่ต่างประเทศ!!
“ในบ้านเมืองนี้ มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้ บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมชนลูกเสือแห่งชาติค่ายลูกเสือวชิราวุธจังหวัดชลบุรี
11 ธันวาคม 2512