นอกจากนี้ยังมีกรณีการพบผู้ติดเชื้อที่เป็นเด็กหญิงอายุ 9 ขวบ ซึ่งเป็นครอบครัวอุปทูตจากซูดาน เดินทางเข้ามาพำนักที่คอนโดแห่งหนึ่งในกทม. โดยอ้างว่าได้รับข้อยกเว้นให้กับคณะทูตที่มาปฎิบัติงานในประเทศไทย จึงไม่มีมาตรการกักตัว 14 วันเช่นกันนั้น
เหตุทั้ง 2 กรณีเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความหละหลวมและเลือกปฏิบัติของ ศบค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ โดยเฉพาะการออกข้อกำหนดเป็น “ข้อยกเว้น” ให้กับบุคคลต่างๆดังกล่าวได้รับอภิสิทธิ์ชน ตามการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อกำหนดในฉบับที่ 12 ที่อาศัยอำนาจตาม ม.9 แห่ง พรก.ฉุกเฉิน ของ ศบค. ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้มีการฝ่าฝืนมาตรการที่กำหนดไว้ได้ง่าย โดยไม่มีมาตรการตรวจสอบที่เคร่งครัดรัดกุมเพียงพอ จนนำมาสู่ความเดือนร้อน เสียหาย และความปลอดภัยของคนในชาติทั้งระบบ เช่นนี้
การที่ ศบค.ใช้อำนาจกำหนดข้อยกเว้นให้กับบุคคลหรือคณะบุคคลเข้ามาในไทยโดยให้มีอภิสิทธิ์เหนือคนไทยด้วยกัน ทั้งๆที่เชื้อโรคไวรัสโควิด-19 จะแพร่ระบาดได้โดยไม่เลือกเพศ วัย ชนชั้น หรือสถานะพิเศษใดๆทั้งสิ้น แต่ ศบค. กลับออกข้อกำหนดที่นำมาซึ่งปัญหาอันส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของคนไทยอย่างไร้ความรับผิดชอบ
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความมาร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2560 ม.234 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 ในการไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดผู้อำนวยการ ศบค.และคณะ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ต่อไป