พร้อมอยากให้ทุกคนตั้งข้อสังเกตุว่าสิ่งที่กลุ่มดังกล่าวดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มีความเป็นไปไม่ได้ และกลุ่มบุคคลนี้มีความต้องการสิ่งใด จึงขออย่าตกเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน ซึ่งเชื่อว่าทุกคนรู้ดี ว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ดำเนินการต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และใกล้วันสำคัญในประเทศใช่หรือไม่
ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการสอบสวนในเรื่องนี้แต่ตามกฏหมายที่มีอยู่ พร้อมมีความห่วงใยเด็กและนักศึกษาที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าจะไม่มีอนาคตไม่มีงานทำ เนื่องจากหลายหน่วยงานไม่อยากได้คนที่มีทัศนะคติแบบนี้ไปร่วมงาน แล้วอนาคตจะทำมาได้กินอย่างไร โดยเฉพาะผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกชักนำ ดังนั้นสื่อต้องไม่ช่วยกันขยายข่าวนี้
จึงอยากให้ทุกคนได้สำนึก ว่า ขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระเมตตา ทรงไม่อยากให้ใช้กฏหมาย มาตรา 112 แต่ก็พบว่ามีการละเมิดอย่างต่อเนื่องพร้อมระบุว่า ตนเองมีความจำเป็น ที่จะพูดในเรื่องนี้ที่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านและแถบยุโรปว่า รัฐบาลทำได้เพียง ขอความร่วมมือและส่งหนังสือไปยังประเทศเหล่านี้ ซึ่งก็อยู่ที่ประเทศต้นทาง ว่าจะส่งตัวกลับมาหรือไม่ ซึ่งก็ต้องยอมรับกฏหมายในต่างประเทศ ไม่สามารถที่จะส่งคนไปติดตามตัวกลับมาได้ ซึ่งคนที่ไปอยู่ต่างประเทศก็หนีการทำผิดจากประเทศไทย ซึ่งบางคนมีคดีเล็กน้อย แต่ก็หนีไป เช่น บางคนถูกเรียกตัว แต่ก็ไม่มา กลับหนีและกล่าวหาผู้อื่นอย่างเสียหาย ที่สำคัญไม่ทราบแม้กระทั่งไปทำธุรกิจด้านใด ซึ่งกรณีนี้ในส่วนของกัมพูชาก็พร้อมจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้ หากมีคนไปแจ้งความหรือร้องทุกข์ ซึ่งทางกัมพูชาได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศมาแล้ว ยืนยันว่า รัฐบาลได้ขอความร่วมมือไปยังทุกประเทศ ที่มีความกลุ่มเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ เพราะทุกคนเป็นผู้ลี้ภัย ส่วนตัวเห็นว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้น่าจะมีจิตสำนึก เมื่อต่างประเทศให้ที่พำนักแล้ว ก็ไม่ควรที่จะเคลื่อนไหวได้ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต หากวันใดที่ประเทศนั้น ไม่ให้อาศัยอยู่แล้วจะไปอยู่ในประเทศใด ซึ่งส่วนตัวเห็นใจ เพราะตนเองไม่ใช่คนใจร้าย มีความสงสารที่เป็นคนไทยเหมือนกัน ไม่มีรังแกใคร
นายกรัฐมนตรี ยังขอความร่วมมือประชาชนทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ต้องช่วยกันรักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพราะประเทศไทยไม่เหมือนที่อื่น การเปลื่ยนแปลงประเทศที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดความรุนแรง หลายประเทศที่เปลื่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย ได้เกิดความรุนแรงมาก่อน จึงไม่อยากให้ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์เหมือนต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีการเลือกตั้งท้องถิ่น หลังนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ยอมรับว่าไม่มีงบประมาณในการจัดเลือกตั้งท้องถิ่น เนื่องจากนำงบที่เตรียมไว้ไปใช้ในการแก้ปัญหาโควิด-19 หมดแล้ว ว่า เรื่องนี้จะเป็นผู้พิจารณาเอง ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของกระทรวงมหาดไทย และกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
พร้อมยืนยันว่า ในปีนี้จะต้องทำให้เกิดการเลือกตั้งท้องถิ่นเพื่อนำร่อง ส่วนจะเป็นกรุงเทพมหานคร หรือ การเลือกตั้งท้องถิ่น ก่อนนั้น ยังไม่ได้พิจารณา
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการยกเลิกเคอร์ฟิววันแรก หลังมีกลุ่มเด็กแว้นออกมาสร้างความวุ่นวายจำนวนมาก ว่า กลุ่มเหล่านี้เป็นพวกที่ไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้นผู้ปกครองและสังคมต้องช่วย เพราะหากทุกคนไม่ให้ความร่วมมือการประกาศใช้เคอร์ฟิวก็ต้องกลับมาอีก ดังนั้น หากพบว่ามีกลุ่มเด็กแว้นออกมากระทำความผิดอีกก็มีการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสามารถดำเนินการได้และจับติดคุกได้ทันที
ส่วนภาคธุรกิจและกิจการต่างๆ ก็ต้องปฏิบัติตามหลังมีการผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 ให้เช่นเดียวกัน เพราะไม่อยากให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ซึ่งเรื่องเศรษฐกิจและสุขภาพล้วนสำคัญทั้งสิ้น โดยหลังจากนี้ต้องดูว่าสถิติผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นหรือไม่
ขณะที่ ด้านการท่องเที่ยวทั้งต่างประเทศ และในประเทศ ต้องมีการกำหนดกรอบว่าพื้นที่ใดสามารถเที่ยวได้บ้าง ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง โดยแต่ละจังหวัดต้องมีมาตรการดูแลตัวเองต้องใส่หน้ากาก และเว้นระยะห่าง
ส่วนต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจะต้องมีการกักตัว 14 วัน ทั้งแบบ State quarantines และ Alternative State Quarantine พร้อมทั้งมีการกำหนดจำนวนคนและเที่ยวบินเข้าประเทศ ที่ต้องเป็นประเทศที่มีร่วมมือกันแบบเมืองต่อเมือง พร้อมย้ำว่า ยังคงเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น ยังไม่ได้มีการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าประเทศ
ขณะที่ พื้นที่ด่านชายแดนนั้น ยังคงคุมเข้มเหมือนเดิม ส่วนแพคเกจการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า อยู่ระหว่างการพิจารณา และยังไม่ได้ข้อสรุป จึงขอให้รอฟังอีกครั้ง