สำหรับข้ออ้างที่ว่า ถ้ามีการเปิดสมัยประชุมวิสามัญ โดยมี ส.ส. มาประชุมกัน แล้วอาจจะเกิดการแพร่ระบาดแบบ Super Spreader เหมือนกับกรณีของสนามมวยลุมพินี ในวันที่ 6 มี.ค. ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนที่ชัดเจนออกมาแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลไม่มีความกระตือรือร้น เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนเลย
ซึ่งห้องประชุมสุริยัน มีที่นั่งรองรับได้ถึง 1,209 ที่นั่ง หากมาประชุมกันในระดับ 244 – 260 คน กับที่นั่งที่มีอยู่ทั้งหมด 1,209 ที่นั่งในห้องสุริยัน ยังคงสามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้ หรือต่อให้จำเป็นต้องประชุมในห้องประชุมจันทรา ที่มีที่นั่ง 350 ที่ ก็ยังคงสามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้อย่างไม่มีปัญหา กระบวนการคัดกรองต่างๆ ก็ยังสามารถทำได้
นอกจากนี้ข้ออ้างของวิปรัฐบาลนั้นไม่สมเหตุสมผล ตามกำหนดการเดิม สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ. โอนงบประมาณฯ ทั้ง 3 วาระ ในวันที่ 28 พ.ค. ซึ่งในช่วงวันดังกล่าว สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ก็ยังไม่หมดไปอยู่ดี
ด้วยเหตุผลทั้งหมด จึงอยากให้รัฐบาลทบทวน คิดถึงความทุกข์ร้อนของประชาชนให้มากๆ และเร่งตัดสินใจเปิดสมัยประชุมวิสามัญเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรช่วยร่นเวลา และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการทำมาหากินให้กับประชาชนได้แล้ว เรื่องความกลัวการแพร่ระบาดของโรค หากใช้สติปัญญา โดยมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาของประชาชนเป็นที่ตั้ง และรู้จักที่จะถอดบทเรียนจากกรณีสนามมวย การวางแผนป้องกันการแพร่ระบาดไม่เกินกำลังสามารถทำได้อยู่แล้ว