เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ตร.เปิดเผย กรณีมีการดำเนินคดีกับผู้ที่มาแจกของให้กับประชาชน บริเวณถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมาเนื่องจากไม่มีการจัดระเบียบ
และเว้นระยะห่างทางสังคม อีกทั้งเกิดเหตุทำร้ายร่างกายกันขึ้นว่า กรณีดังกล่าวเห็นว่าผู้ที่นำสิ่งของมาบริจาคนั้น เป็นความหวังดีที่อยากช่วยเหลือประชาชน แต่ก็ขอให้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นสำนักเขต,ฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน เพื่อจะได้เตรียมพื้นที่และจัดระเบียบให้ถูกสุขอนามัย เข้ากับการบริหารจัดการลดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในขณะนี้ เพราะไม่อย่างนั้นก็อาจไม่เข้าใจกันว่าต้องการมาทำอะไร ที่ผ่านมาก็มีเหตุการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น เมื่อเป็นความผิดทางกฏหมายก็ต้องดำเนินคดี จึงเห็นว่าหากจะทำอะไรแบบนี้ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ก่อน ส่วนการดำเนินคดีนั้น ได้กำชับให้ตำรวจนครบาลพิจารณาให้สมควรแก่เหตุและให้เป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนไปคิดว่าคงไม่มีอะไรรุนแรงมาก พร้อมย้ำเตือนผู้ที่จะบริจาคขอให้ประสานเจ้าหน้าที่จะไม่เกิดปัญหา
พล.ต.อ.สุวัฒน์ ยังได้กล่าวถึงเรื่องการดำเนินคดีกับเฟคนิวส์ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ได้ร่วมกับกระทรวงดีอี ในการตรวจสอบตลอด โดยกระทรวงดีอี เป็นหน่วยหลัก ดูว่าอันไหนเป็นเฟคนิวส์ เพราะข่าวเท็จต้องมีต้นตอ เมื่อกระทรวงดีอีเห็นว่าข่าวไหนทำให้เกิดความตื่นตระหนกและเป็นความผิดตามกฏหมาย ก็จะส่งมาที่ ตร.เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย พร้อมฝากถึงประชาชนหากเห็นว่าข้อมูลไหนไม่ถูกต้องและอาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในวงกว้าง จนเกิดความเสียหายก็ต้องระมัดระวังและพิจารณาก่อนว่าจริงหรือไม่ เพราะหากโพสต์หรือแชร์ไปแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบ พร้อมระบุ เจ้าหน้าที่มีชุดปฏิบัติการติดตามอยู่แล้วหลายหน่วยงาน เนื่องจากความผิดบนโลกโชโชียลกระจายไปทั่วประเทศและทั่วโลก จะใช้หน่วยใดหน่วยหนึ่งไม่ได้ ของ ตร.เองก็มีศูนย์ฯ ในการติดตามและประสานงาน
สำหรับกรณีที่มีการปล่อยข่าวพรรคเพื่อไทยแจกเงินแท็กซี่ 5,000 บาททำให้มีคนไปรวมตัวกันมากๆวันนี้(20เม.ย.) นั้น จะต้องให้ฝ่ายกฏหมายพิจารณาก่อนหากเข้าข่ายความผิดก็ต้องมีการดำเนินคดี
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่าสำหรับผู้ฝ่าฝืนประกาศเคอร์ฟิวส์เมื่อคืนนี้ มีประมาณว่า 600 ราย ซึ่งจากตัวเลขลดลงเล็กน้อย เชื่อว่าประชาชนรับรู้และเข้าใจมากขึ้น ยืนยันการดำเนินคดีจะดูที่เจตนา เพระไม่ต้องการจับใครเพื่อให้เกิดความเดือดร้อน ส่วนกรณี กทม.ขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอล์ฮอล์จนถึง 30 เมษายนนั้น เห็นว่าเมื่อมีประกาศก็ต้องปฏิบัติตาม