โดยตามกฎหมายดังกล่าวการประกาศต้องมีการให้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีประกาศ มีผล 26 มีนาคมนี้ ตั้งแต่เที่ยงคืน ซึ่งใช้ได้ 3 เดือน โดยประกาศใช้วันที่ 26 มี.ค.- 30 เม.ย. 2563 และมีการพิจารณาต่ออายุเป็นคราวๆไป เหตุที่ต้องประกาศทั่วราชอาณาจักร เพราะโควิด-19 ระบาดไปทั่วจึงจำเป็นต้องปิดล้อมทั่วประเทศเมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วอยู่ระหว่างการบริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉินไม่เหมือนสถานการณ์ปกติ
ซี่งได้มีการเตรียมการที่จะประกาศ จะต้องใช้เวลาเพราะต้องให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อเตรียมตัวก่อนประกาศใช้จริง ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นกฎหมายได้กำหนดเบื้องต้นไว้ว่าสามารถโอนอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฏหมายใดก็ตามมาเป็นของนายกรัฐมนตรี ซึ่งบัดนี้นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอและจะมีการออกคำสั่งโอนอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามพระราชบัญญัติ 40 ฉบับมาเป็นของนายกรัฐมนตรี ซึ่งการโอนในที่นี้หมายถึงการดึงอำนาจสั่งการเสมือนนายกฯเป็นเจ้าของกระทรวงซึ่งรัฐมนตรีเป็นเจ้าของกระทรวงเหมือนเดิมไม่ได้หมายความว่าปลดรัฐมนตรีหรือไม่ต้องรับผิดชอบ บางมาตราหรือบางมาตรการซึ่งการโอนอำนาจนี้ได้มีข้อความเขียนไว้ท้ายคำสั่งไว้ว่านายกรัฐมนตรียังไม่ได้มีการสวมอำนาจเป็นอย่างอื่นรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งหลายยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งเดิมทุกอย่างเพียงแต่นายกรัฐมนตรีสวมหน้าที่เมื่อไหร่ก็ได้ เพื่อความรวดเร็วและมีการบูรณาการ
คำสั่งที่ 2 เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้รักษาสถานการณ์กฎหมายกำหนดว่านายกรัฐมนตรีจากเป็นผู้อำนวยการสถานการณ์ทั่วประเทศและขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้ตั้งรองนายกรัฐมนตรีทุกคนเป็นผู้ช่วยในการรักษาสถานการณ์เรียงตามลำดับในการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แต่ความสำคัญจะอยู่ตรงที่ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารับผิดชอบด้านต่างๆ โดยกำหนดให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบด้านสาธารณสุขทั่วราชอาณาจักร ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในด้านการปกครองเกี่ยวกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมสินค้ามีให้ขาดแคลน หรือขาดตลาด หรือขึ้นราคา หรือปลอมแปลง ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวกับการสื่อสารมวลชนเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โซเชียลออนไลน์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รับผิดชอบในส่วนความมั่นคงดูแลทหารตำรวจเจ้าหน้าที่ กอรมน. รวมถึงเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานซึ่งเป็นโครงสร้างในคำสั่งฉบับที่สองนอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่ต่างๆ ปฏิบัติงานด้วย ทั้งนี้ยังได้อธิบายอีกว่า การไม่ตั้งรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบนั้น ในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กำหนดให้ต้องมีหัวหน้าผู้รับผิดชอบโดยแต่งตั้งจากข้าราชการประจำซึ่งมีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี ส่วนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงยังคงต้องรับผิดชอบดูแล ซึ่งเป็นในส่วนนโยบาย
คำสั่งฉบับที่สามที่จะมีการประกาศหลังจากนี้จะมีการตั้งศูนย์บริหาร ศอฉ. หรือศูนย์บริหารสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมยกระดับศูนย์นี้ขึ้นมาเป็น ศอฉ. สามารถตั้งกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาได้ในส่วนที่ว่านี้จะมีการจัดโครงสร้างเป็นศูนย์ปฏิบัติการเยอะย่อยอีกห้าถึงหกศูนย์เป็นเรื่องที่สภาความมั่นคงแห่งชาติดูแล คำสั่งที่สำคัญที่สุดที่ประชาชนอยากรู้ว่าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรซึ่งเป็นคำสั่งสุดท้ายสำหรับฉบับนี้คือข้อกำหนดพระราชกำหนดการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินให้นายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดต่างๆได้และข้อกำหนดเหล่านี้จากกระทบกับวิถีชีวิตและทำให้สถานการณ์ฉุกเฉินข้อกำหนดนี้มีข้อย่อยประมาณ 15 ถึง 17 ข้อ
ซึ่งจะต้องลงราชกิจจานุเบกษาและเผยแพร่ออกไป ขอสื่อมวลชนช่วยอ่าน ตรวจสอบเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบด้วย
ทั้งนี้นายวิษณุกล่าวว่า ในตอนนี้ยังไม่มีการประกาศใช้เคอร์ฟิว ซึ่งการออกข้อกำหนดฉบับที่หนึ่งซึ่งไม่มีเคอร์ฟิว ต้องเตือนก่อน 48 ชม. ไม่เหมือนเคอร์ฟิวเหมือนเดิม อันเดิมเพื่อรักษาความมั่นคง เคอร์ฟิวโควิด 24 ชม. ต้องมีข้อยกเว้น เพื่อซื้ออาหาร หรือกดเงินได้เป็นต้น ส่วนจะประกาศหรือไม่ จะมีการประเมินสถานการณ์รายวัน โดยใช้ข้อมูลทางการแพทย์