เมื่อ 3 มี.ค.63 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก “นายสราวุธ เบญจกุล” เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม พร้อมด้วยนายปุณณพัฒน์ มหาลี้ตระกูล ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจําสํานักประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานคณะกรรมการวางระบบรักษาความปลอดภัย และนายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ตรวจดูการติดตั้งเครื่องเทอร์โมสแกน ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเมื่อเดินผ่านกล้อง-ระบบเซ็นเซอร์มาตรฐานใกล้เคียงใช้ในสนามบิน เพื่อคัดกรองผู้มาติดต่อราชการ บริเวณอาคารศาลอาญา ตั้งเป้าเพิ่มมาตรการป้องกันโรคไวรัส COVID-19
ภายหลัง “นายสราวุธ เบญจกุล” เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า วันนี้ได้มาตรวจดูการติดตั้งเครื่องเทอร์โมสแกน ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อคัดกรองผู้มาติดต่อราชการ บริเวณอาคารศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งเครื่องเทอร์โมสแกน ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายนี้ เป็นส่วนของบริษัทเอกชนที่นำมาให้ทดสอบการใช้งานก่อนเพื่อวัดคุณภาพ โดยสำนักงานศาลยุติธรรมมีเป้าหมายในการจัดหาเครื่องเทอร์โมสแกนที่จะมีมาตรฐานเดียวกับที่ใช้สนามบิน มาติดตั้งในศาลที่มีประชาชนมาติดต่อราชการจำนวนมากและในศาลที่เห็นว่ามีความจำเป็น อาจมีความเสี่ยง ซึ่งศาลอาญาก็เป็น 1 ในศาลที่แต่ละวันมีผู้มาติดต่อราชการเป็นจำนวนมาก เราต้องจัดหามาตรการ-อุปกรณ์ที่จะมาช่วยเฝ้าระวัง ป้องกันความเสี่ยง สร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับทุกคน
อย่างไรก็ดีสำหรับเครื่องเทอร์โมสแกน ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ที่เอกชนนำมาเสนอให้ทดลองใช้นี้ เราจะทดลองนำร่องในศาลอาญาแห่งเดียวก่อน เพียงเครื่องเดียวบริเวณหน้าอาคารทางเข้าศาลอาญาที่ประชาชนจะต้องเดินผ่านมาเมื่อจะติดต่อราชการศาลโดยเราทดลองใช้ไปจนกว่าจะรวบรวมผลการทำงานของเครื่องได้ครบถ้วนและจนเป็นที่พอใจในการทดสอบทุกด้าน เพราะการจะจัดซื้อจะจ้างเครื่องมืออุปกรณ์ใดเราต้องศึกษาขั้นตอนการทำงานและการวัดผลให้ชัดเจน
“นายสราวุธ” เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวอีกว่า เกี่ยวกับมาตรการป้องกันความเสี่ยงโรคไวรัส COVID-19 นี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานศาลยุติธรรมได้เพิ่มมาตรการป้องกันโรคไวรัส COVID-19 ส่งมอบเงินงบประมาณให้ทุกศาลทั่วประเทศ 272 แห่งๆ ละ 10,000 บาทเบื้องต้นก่อน เพื่อนำไปบริหารจัดการหาอุปกรณ์เพื่อมาตรการป้องกันความเสี่ยงโรคไวรัส COVID-19 พร้อมกับส่วนที่ตนได้ออกหนังสือด่วนที่สุด ถึงหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยขอความร่วมมือ ให้หน่วยงานในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม ดำเนินการใน 3 แนวทาง ซึ่งได้ย้ำเตือนให้ถือปฏิบัติอยู่ด้วยเช่นกัน หลังจากคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติประกาศ ให้โรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ป็นโรคติดต่ออันตราย ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ลำดับที่ 14 และกระทรวงสาธารณสุข ได้แจ้งเตือนระดับ 3 หลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแนวทางปฏิบัติ 3 ข้อนั้น มีรายละเอียดดังนี้ 1.ให้หลีกเลี่ยงการเดินทาง หรือเลื่อนการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
2.กรณีได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส ให้แจ้งสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อพิจารณายกเลิก หรือเลื่อนการเดินทางออกไปให้พ้นช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
3.กรณีที่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอย่างยิ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงการเดินทางไปหรือแวะผ่านประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ ให้แจ้งสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อพิจารณาเป็นรายกรณี และเฝ้าระวังต่อเนื่องจนครบ 14 วันเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว โดยให้ทุกส่วนยึดถือแนวปฏิบัติดังกล่าว