กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร- kKP ปรับสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อ เน้นเพิ่มกลุ่มลูกค้าคุณภาพที่ให้ผลตอบแทนเทียบเท่าความเสี่ยงที่สูง เพื่อสร้างความเติบโตแบบมีภูมิคุ้มกันต่อสภาพเศรษฐกิจ เลยครึ่งปีแรกเติบโต 2.1% โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบรรษัท (17%) สินเชื่อลอมบาร์ด (3.9%) และสินเชื่อธุรกิจ (0.6%) ด้านธุรกิจตลาดทุน ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง บล.ภัทรขึ้นครองส่วนแบ่งตลาดนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นอันดับ 1 ในขณะที่ธุรกิจ Wealth Management มีสินทรัพย์ใต้คำแนะนำเพิ่มขึ้นเป็น 547,000 ล้านบาทและยังคงรุกหน้าบริการการลุงทุนในต่างประเทศที่ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความซับซ้อน
นายอภินันท์ เกลียวปฎินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ผ่านมาผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจฯ ได้รับผลกระทบจากภาวะของตลาดไม่ว่าจะเป็นการหดตัวของการลงทุนภาคเอกชน การส่งออก รวมถึงจำนวนของนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง
ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า รวมถึงภัยแล้ง ทำให้ธนาคารเลือกที่จะเติบโตอย่างระมัดระวัง ในครึ่งปีแรก สำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดสินเชื่อของธนาคารยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่ 2.1% โดยเฉพาะในกลุ่มของสินเชื่อบรรษัท (Corporate Lending) สินเชื่อลอมบาร์ด (Lombard Loan) และสินเชื่อธุรกิจ (Commercial Lending) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตดี และน่าจะให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอแม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทายและไม่แน่นอนสูง โดยสินเชื่อทั้งสามกลุ่ม มีการเติบโตที่ 17% 3.9% และ 0.6% ตามลำดับ ในส่วนของสินเชื่อลูกค้ารายย่อย มีการขยายตัวในสินเชื่อเกือบทุกประเภทเช่นกัน มีเพียงสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ชลอการเติบโตโดยมุ่งรักษาคุณภาพของสินเชื่อและเพื่อลดการต่อตัวของหนี้เสียในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจหดตัว ส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของสนิเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ตะเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยซึ่งเป็นการปรับตัวตามความคาดหมายตามรูปแบบของการดำเนินธุรกิจที่ได้เพิ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ใหผลตอบแทนดีกว่ารถรถยนต์ใหม่
ส่วนด้านของธุรกิจตลาดทุนยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ซึ่ง บล.ภัทรมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่ง ธุรกิจวานิชธนกิจคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังและปีหน้าจะมีรายได้จากธุรกรรมใหญ่หลายรายการที่ บล.ภัทร ได้รับเลือกมห้ดำเนินการและที่สำคัญธุรกิจ Wealth Management ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำที่เพิ่มขึ้นเป็น 547,000 ล้านบาท โดยยังคงรุกหน้าเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความซับซ้อนระดับสูงอย่างต่อเนื่องอีกทั้งยังบุกเบิกบริการด้านการลงทุนตรงสินทรัพย์ต่างประเทศที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นกองทุนหรือตราสารหนี้ผ่านการร่วมมือจัดการกองทุนระดับโลก อาทิ BlackRock และ PIMCO ทั้งการนำเสนอของ Private Markets เป็นครั้งแรกในประเทศไทยภายใต้ชื่อ Global Investment Service นอกจากนี้ ธุรกิจจัดการกองทุนที่ดำเนินการผ่าน บลจ.ภัทร มีการการเติบโตที่ดี มีทรัพย์สินภายใต้การจัดการกองทุนรวมเป็นจำนวนกว่า 69,891 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับผิดชอบก้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคลได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจของธนาคารต่อไปว่า “ในช่วง3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากจำนวนสาขาของธนาคารที่มีมากเกินไปจนกลายเป็นภาระของต้นทุน ระบบการจ่ายเงินเปลี่นนจากแหล่งที่ทำกำไรกลายเป็นการบริการที่ไม่สร้างรายได้ การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเริ่มย้ายจากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และธนาคารได้แบ่งยุทธศาสตร์ออกเป็น 4 ส่วน คือ
1).การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เป็นตัวเลือกของผู้บริโภคอย่างแท้จริงซึ่งการตัดสินใจของผู้บริโภคคือตัวขี้ขาดหนึ่งเดียวในการแข่งขันที่รุนแรง
2).การพัฒนาขอบเขตและขีดความสามารถทางด้านไอที เพราะอนาคตอยู่ที่โลกของดิจิทัล
3).การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้บริโภคซึ่งต้องครบวงจรทั้งออฟไลน์และออนไลน์
4). การเสาะหา บำรุง และการสร้างจูงใจให้กับบุคลากร เนื่องจากคุณภาพคนคือตัวกำหนดคุณภาพของบริการที่จะออกสู่ผู้บริโภค ในที่สุด”
ด้าน นายปรีชา เดชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณและประธานสายตลาดการเงิน ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานหกเดือนงวดสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2562 ของธนาคารและบริษัทย่อยว่า “กลุ่มธุรกิจฯ มีกำไร ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 2,699 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.9 จากงวดเดียวกันของปี 2561 เป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย จำนวน 327 ล้านบาท มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 5,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้ค่รธรรมเนียมและบริการสุทธิ อยู่ที่ 2,146 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.7 จากงวดเดียวของปีก่อน และรายได้อื่นๆ 1,059 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 9,176 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากงวดเดียวกันของปี 2561 ในครึ่งปีแรกสินเชื่อโดยรวมของธนาคารมีการขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 จากสิ้นปี 2561 โดยมีการขยายตัวในสินเชื่อเกือบทุกประเภทยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีการหดตัว ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หดตัวร้อยละ 2.7 จากสิ้นปี 2561 ด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ณ. สิ้นไตรมาส 2/2562 อยู่ที่ร้อยละ 4.2 ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 4.1 ณ. สิ้นปี 2561 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ( BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel lll ซึ่งเงินกองทุนทั้งสิ้นได้รวมกำไรถึงปี 2561 ทั้งปีหลังหักเงินปันผลจ่าย อยู่ที่ร้อยละ 16.13 โดยเงินกองทุนขั้นที่ 1 เท่ากับร้อยละ 12.37 แต่ถ้าหากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/2562 จะส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับร้อยละ 17.29 และเงินกองทุนขั้นที่ 1 เท่ากับร้อยละ 13.53”