นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โพสต์กล่าวผ่านเฟสบุ๊ค่สวนตัว ถึงรัฐบาลว่า หยุดการคุกคามและหยุดละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชน หยุดการดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้สิทธิ เสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ ตามที่รัฐบาลปัจจุบันตั้งข้อหาดำเนินคดีต่อกลุ่มประชาชน NGO คณาจารย์และนักศึกษาที่ออกมาแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อสังคมตามสิทธิ เสรีภาพที่พวกเขามีตามรัฐธรรมนูญนั้น ตนมีความเห็นว่า รัฐบาลกำลังละเมิดและคุกคามสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ซึ่งถือเป็นการกระทำของรัฐบาล ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ การใช้สิทธิ เสรีภาพของประชาชนในปัจจุบันโดยเฉพาะการแสดงออกของกลุ่มประชาชนทั้งสองกลุ่มอันได้แก่ “กลุ่ม We walk ที่แสดงความเห็นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต” และ. “กลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยที่แสดงความเห็นหน้าสยามพารากอน” ทั้งสองกลุ่มต่างฝ่ายต่างแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างเปิดเผย และได้แสดงความคิดเห็นของตนต่อสาธารณะ เสนอความคิดเห็นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิ เสรีภาพ และมีความเข้าใจต่อระบบสวัสดิการสังคมที่รัฐควรรับผิดชอบต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคงทางอาหารของประเทศ สิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน

นายภูมิธรรมกล่าวต่อไปว่า ทุกประเด็นเป็นการกล่าวถึงหลักประกันในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน ซึ่งไม่ได้กระทบกระเทือนสิทธิส่วนบุคคลของใคร แต่เป็นการแสดงออกตามสิทธิพลเมืองที่เปิดเผยตรงไปตรงมา การกล่าวถึงความต้องการให้ประเทศกลับคืนสู่วิถีแห่งประชาธิปไตย อยากเห็นการเลือกตั้งที่โปร่งใส ยุติธรรมเกิดขึ้นเร็วที่สุด รวมทั้งเสนอให้รัฐคลี่คลายความคลางแคลงใจของประชาชน ต่อกรณีความผิดปกติในการครอบครองทรัพย์สิน…”กรณีแหวนเพชรแม่ นาฬิกาเพื่อน” ซึ่งมีการอ้างว่ายืมมาใส่จำนวนเท่าที่ปรากฏมากถึง 25 เรือนมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ซึ่งข้อเสนอแนะของกลุ่มประชาชนทั้งสองกลุ่ม น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการที่รัฐบาลจะได้ชี้แจงเรื่องความโปร่งใสของประเทศ และเป็นการตอบข้อสงสัยที่ประชาชนมีต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลอย่างกระจ่างแจ้ง ทั้งหมดเป็นการช่วยให้รัฐบาลได้เคลียร์ตนเองให้กระจ่างชัดด้วยซ้ำไป หากรัฐบาลยอมรับและดำเนินการอย่างเปิดเผย จะเป็นความสง่างาม มากกว่าการใช้อำนาจข่มขู่คุกคามความเห็นอันบริสุทธิ์ใจของประชาชน การดำเนินการดังกล่าว ยิ่งกลับทำให้สถานการณ์ของรัฐกลายเป็นการปกปิดและกลบเกลื่อนร่องรอยที่ไม่โปร่งใสให้ขยายกว้างขึ้น

นายภูมิธรรมกล่าวด้วยว่า ตนพิจารณาข้อคิดเห็นของกลุ่มประชาชน / NGO / คณาจารย์และนักศึกษาทั้งสองกลุ่มอย่างละเอียดแล้วก็ยังไม่เห็นจะเข้าข่ายที่ท่านจะตั้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง และเป็นการกระทำด้วยวาจาอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร” แต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประชาชนไทยทุกคนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อย่างเสมอภาค ทุกคนนอกจากจะต้องปฏิบัติตามสิ่งที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังจะได้รับการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอีกด้วย โดยเฉพาะมาตรา 34 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้…”

ดังนั้นการที่รัฐบาลหรือรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง (พลเอกประวิตร ) ระบุว่า “จะเตรียมเเผนรับมือม็อบเอง เพราะตอนนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ จะเอาอะไร…” นั้น ตนเห็นว่าเป็นการแสดงความเห็นที่คลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้อง เพราะแท้ที่จริงแล้ว ท่านทั้งหลายที่กำลังทำหน้าที่บริหารประเทศอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นผู้บริหารประเทศ ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน คำว่า“รัฏฐาธิปัตย์ หรืออำนาจเบ็ดเสร็จ” อยากทำอะไรก็ได้ของท่าน สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ปัจจุบัน คสช. จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเคารพสิทธิ เสรีภาพของประชาชน และเมื่อใดก็ตามที่ท่านละเมิดสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่น สิ่งที่ท่านทำก็อาจกล่าวได้ว่า ขัดกับรัฐธรรมนูญเสียเอง ตนยังยืนยันความเชื่อที่ว่า ในระบอบประชาธิปไตยนั้น เรามองว่าความเห็นต่าง เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นสิ่งที่ต้องรับฟังว่าผู้อื่นมีความเห็นอย่างไร เพื่อนำไปพัฒนาความคิดของตนให้รอบด้านยิ่งขึ้น เพราะเราเชื่ออยู่เสมอว่า ไม่มีใครที่รอบรู้ไปทุกเรื่อง ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย ซึ่งเราต้องรับฟังและนำไปไตร่ตรอง

สิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา ถ้าท่านมองให้เป็นประโยชน์ ท่านจะได้รู้ว่าประชาชนคิดอย่างไรกับการบริหารประเทศของท่าน คิดอย่างไรกับ “คำสัญญา” ของท่าน ท่านควรจะนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงเพื่อทำให้ตรงกับความต้องการของประชาชน ไม่ใช่ใครเห็นต่างก็สั่งระงับ ใครคิดต่างก็ปิดกั้น อย่างนี้ไม่ใช่คุณสมบัติของผู้นำที่ดี สังคมไทยมีลักษณะอย่างหนึ่งที่ตนเคยพูดไปแล้วว่า “ยิ่งกดแรง ยิ่งมีความรุนแรงในการต้านกลับ”สภาพเช่นนี้หากเกิดขึ้นไม่เป็นผลดีต่อใครเลยไม่ว่ากลุ่มคณะของท่านหรือประเทศชาติ

“การใช้สิทธิเสรีภาพโดยสงบ ปราศจากความรุนแรง ตามกรอบของรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สามารถทำได้ และตนไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลเพื่อเอาผิดกับกลุ่มประชาชนที่เรียกร้องตามกรอบของกฎหมาย เพราะถือว่าเป็นการคุกคามสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ซึ่งอาจถือเป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญเสียเอง และต้องอย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์เหนือกว่าคำสั่งใดๆ ถ้าคำสั่งใดถูกใช้ในลักษณะที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็ถือเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั่นเอง” นายภูมิธรรม กล่าว

 

Pheu Thai