ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีถูกพาดพิงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนต่างๆ ระบุว่า ความพยายามที่จะทำลายผมและพรรคอนาคตใหม่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดและเกลียดชังผม
ที่ผ่านมาเราพยายามที่จะไม่ตอบโต้หรือสาดโคลนกลับ พวกเราชาวอนาคตใหม่กำลังทำภารกิจสำคัญด้วยกัน ดังนั้นขอให้เราหนักแน่น อย่าหวั่นไหวไปกับข่าวที่มุ่งหวังทำลายเรา การเดินทางเพื่อเปลี่ยนแปลงยังอีกไกล จับมือกันไว้ให้แน่นและแสดงให้พวกเขาเห็นว่าอุดมการณ์ของเราแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดมากนักและจะไม่โดนทำลายด้วยการเมืองเก่าสกปรกเช่นนี้
อนาคตใหม่วันนี้คือกุญแจดอกสำคัญ คือตัวแปรสำคัญที่จะหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ ความรุนแรงและความถี่ในการโจมตีผมและพรรคอนาคตใหม่อย่างเป็นระบบ แสดงให้เห็นถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเผด็จการที่ต้องการสืบทอดอำนาจ
————-
ในกรณีของหุ้นปิคนิค (PICNI) มีการพยายามโยงว่าผมเกี่ยวข้องกับคดีอื้อฉาวของคุณสุริยา ลาภวิสุทธิสิน ผู้ถือหุ้นเดิม และผมอยู่ในเครือข่ายอุปถัมภ์เดียวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ ข่าวดังกล่าวมาจากสื่อบางสำนัก ซึ่งผมขอชี้แจงดังนี้
1. ผมไม่เคยรู้จักและไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคุณสุริยา ผู้บริหารเดิมของปิคนิค และไม่เคยเข้าไปมีส่วนบริหารใดๆ กับปิคนิคเดิมเลย คดีที่เกี่ยวข้องกับคุณสุริยาเกิดขึ้นนานนับสิบปีก่อนที่ผมจะเข้ามาซื้อหุ้นบางส่วนในบริษัท (ดูไทม์ไลน์ที่คุณณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ สรุปมาได้ที่ https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2372868842765193&id=100001263023794&sfnsn=mo )
2. เมื่อกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ต้องการเข้าฟื้นฟูกิจการ PICNI ด้วยการควบรวมบริษัทกับ World Gas ผมได้รับการขอร้องจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้เข้าไปช่วยซื้อหุ้นที่เพิ่มทุน เพราะทุนไม่พอต่อการปรับโครงสร้างบริษัท ผมเข้าไปลงทุนหลังคดีความของปิกนิกเดิมที่เกี่ยวข้องกับคุณสุริยาหลุดจากบริษัทปิกนิกไปแล้ว
3. ผมตัดสินใจช่วยเพราะผมได้ put option ที่จะทำให้ผมขายคืนได้ด้วยผลตอบแทนร้อยละ 7-8 ต่อปี ผมถือหุ้นไว้ระยะเวลาหนึ่งก็ขายออกไปให้กับนักลงทุนอื่นบางส่วน และใช้ put option ขายหุ้นส่วนที่เหลือคืนกลุ่มที่เสนอขายให้ผม
4. ตลอดเวลาที่ผมถือหุ้นอยู่ ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบริษัท หรือกระทำการใดๆ ให้บริษัทเสื่อมเสียในฐานะผู้ถือหุ้น แม้แต่ผู้ถือหุ้นท่านอื่น (เช่น คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา, คุณชัชวาลย์ เจียรวนนท์, คุณวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์) ผมก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นส่วนตัว เท่าที่จำได้ แม้แต่การประชุมผู้ถือหุ้น ผมก็ไม่เคยไปด้วยตัวเองสักครั้ง
————-
ในกรณีของบริษัท วัน โอ ซี คอร์โปเรชัน จำกัด มีความพยายามที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่า บริษัทวันโอซีที่ผมถือหุ้นอยู่ ทำกิจการโรงเลื่อยและสัมปทานค้าไม้ จนทำให้มีคนนำเรื่องนี้ไปโจมตีต่อว่าเป็นโรงเลื่อยเถื่อนและทำลายป่าไม้ทำให้เกิดภูเขาหัวโล้น
วัน โอ ซี เป็นบริษัทที่ผมเตรียมไว้ใช้ในธุรกิจส่วนตัว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้บริษัทนี้แต่อย่างใด สถานะของบริษัทนี้ตลอดมาเป็น sleeping company ปัจจุบันบริษัทนี้อยู่ในระหว่างปิดกิจการ
ธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปในภาคธุรกิจอันเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัท มักระบุขอบเขตกิจการของบริษัทกว้างๆ ไว้ ซึ่งโดยมากเขียนกันเป็นมาตรฐาน เพื่อให้เมื่อประกอบกิจการแล้วขยับขยายต่อไปจะได้ไม่ต้องไปขอแก้ไขเพิ่มอันจะเสียเวลาทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ประกอบการ ซึ่งเรื่องนี้คนทั่วไปที่ทำธุรกิจและสื่อมวลชนก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป
ดังนั้นการนำเอาวัตถุประสงค์ของบริษัท วัน โอ ซี เพียงบางข้อในหนังสือจดทะเบียนนิติบุคคลมากล่าวหาว่าผมเป็นเจ้าของโรงเลื่อยและสัมปทานค้าไม้โดยไม่มีหลักฐานอื่นใดมายืนยัน จึงเป็นการสร้างข่าวเท็จที่มุ่งหวังจะสร้างความเกลียดชังในสังคม
ต้องยอมรับว่าผมเสียดายอย่างยิ่งสำหรับสำนักข่าวที่เป็นผู้จุดประเด็นนี้ เนื่องจากเคยเป็นความหวังของสังคมไทยว่าจะยืนหยัดตรวจสอบผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา เป็นธรรม ไม่มีอคติและไม่เลือกปฏิบัติ
————————-
ผมยืนยันในข้อเท็จจริงทั้งสองกรณี สำนักข่าวใดมีข้อเท็จจริงหักล้างคำกล่าวของผมข้างต้น ผมยินดีรับฟัง แต่หากไม่มีหลักฐานพิสูจน์คำกล่าวหา กรุณาอย่าทำลายกันด้วยการเมืองแบบนี้เลยครับ เพราะด้วยการเมืองแบบเก่าที่สร้างให้ประชาชนชิงชังกันเองแบบนี้ ประเทศถึงไม่พัฒนาไปไหนในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา
————————
ในโลกที่กระแสโลกาภิวัตน์เชี่ยวกราก สื่อทุกสำนักต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ประชาชนจากเดิมที่เป็นเพียงผู้เสพข่าวกลายเป็นทั้งผู้เสพ ผู้เขียน และตัวแสดงในคนคนเดียวกัน สื่อคือตัวกลางที่เชื่อมระหว่างข่าวกับผู้เสพข่าว ตัวกลางที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีคุณภาพ หรือไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้อ่านได้ จะถูกเทคโนโลยีทำลายหายไป
องค์กรสื่อทั้งหมดเผชิญกับรายได้ที่ลดลง ผลประกอบการส่วนใหญ่ขาดทุน และยังหารูปแบบการทำธุรกิจที่ทำกำไรอย่างยั่งยืนไม่ได้ ถ้าผมเป็นผู้บริหารสื่อบางสำนัก แทนที่จะเอาเวลามาสร้างความเกลียดชังกันในหมู่ประชาชน ผมจะนำเวลาไปพัฒนาความรู้และทักษะของคนในองค์กรเพื่อตอบสนองกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างข่าวที่มีคุณภาพกว่าคนอื่น องค์กรธุรกิจสื่อสมัยใหม่จะอยู่ได้ก็ด้วยคุณภาพ
ผมยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งผมไป World Economic Forum ที่เวียดนาม นักข่าวจาก Channel NewsAsia สำนักข่าวจากสิงคโปร์ มาสัมภาษณ์ผม เขาคนเดียวตั้งกล้องวิดีโอ, ถ่ายภาพนิ่ง, ทำประเด็น และสัมภาษณ์ด้วยตัวเองโดยมีเนื้อหาคำถามอันแหลมคม ภายใน 3 ชั่วโมงหลังการสัมภาษณ์ ข่าวถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในโลก online เนื้อหาถูกเขียนสรุป พร้อมบริบทการเมืองที่ไม่ได้อยู่ในการสัมภาษณ์เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจ คลิปประโยคสำคัญถูกตัดต่อให้สั้นกระชับและแนบในเนื้อข่าว ทั้งหมดทำโดยคนๆ เดียว นี่คือองค์กรสื่อสมัยใหม่ชั้นนำ
ทว่าองค์กรสื่อไทยบางองค์กรกลับเลือกวิธีที่คิดสั้น เพราะการลงทุนลงแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงมันยาก, ต้องเสี่ยง, เหนื่อย และใช้เวลา ทางเลือกอื่นคือหันไปรับใช้เผด็จการเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้นโดยยอมทิ้งเสรีภาพและจรรยาบรรณสื่อในการเสนอข่าว
เมื่อสื่อบางสำนักยังเขียนถึงผมในลักษณะสร้างความเกลียดชังด้วยความเท็จเช่นนี้ ประชาชนจะแน่ใจได้อย่างไรว่าข่าวที่สื่อสำนักนั้นเขียนถึงคนอื่นจะไม่มีลักษณะแบบเดียวกัน
ผมขอให้กำลังใจสื่อมวลชนทุกท่านที่ยังมีความหวังและเชื่อมั่นอยู่ว่าสื่อมวลชนที่เข้มแข็งคือเสาหลักต้นหนึ่งของประชาธิปไตย ขอให้กำลังใจทุกคนที่ยืนหยัดในเกียรติภูมิของนักข่าว สำหรับผม ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนวงการสื่อไปแค่ไหน การตีแผ่ความจริงที่ผู้มีอำนาจไม่อยากให้ประชาชนรู้ หรือการเป็นปากเป็นเสียงให้แก่ผู้ที่ถูกกดขี่คุกคาม ยังเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลและน่านับถืออยู่เสมอ