ที่ลานแถลงข่าวชั้นล่าง บช.น. พลตำรวจโท สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วย พลตำรวจตรี นิตินันท์ เพชรบรม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.),พลตำรวจตรี เอกชัย บุญวิสุทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 (ผบก.น.2),พันตำรวจเอก ยรรยง สันติปรีชาวัฒน์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 (รองผบก.น.2),พันตำรวจเอก คณบดี เลิศอมรศักดิ์ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (ผกก.สส.บก.น.2),พันตำรวจเอก เติมเผ่า สิริภูบาล ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร (ผกก.สน.สุทธิสาร), เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (กก.สส.บก.น.2) และฝ่ายสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร (สน.สุทธิสาร) ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุลักทรัพย์ตู้เซฟ คือ นายบรรจง ลิ้นจี่ อายุ 33 ปี
โดยเมื่อวันที่ 13 ก.พ.62 เวลาประมาณ 10.30 น.ได้เกิดเหตุคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์สินภายในบ้านเลขที่ 619/1 ซอยลาดพร้าว 48 โดยคนร้ายได้รื้อค้นทรัพย์สินภายในบ้านและได้ลักเอาตู้เซฟ ยี่ห้อ LEECO ขนาดประมาณ 20 กิโลกรัม ซึ่งภายในตู้เซฟดังกล่าวเจ้าของได้เก็บรักษาทรัพย์สินประเภททองคำรูปพรรณ ทองคำแท่ง และทรัพย์สินอื่นเอาไว้ จากนั้นคนร้ายได้หลบหนีไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่กก.สส.บก.น.2 และฝ่ายสืบสวน สน.สุทธิสาร เร่งรัดสืบสวน ติดตาม จนกระทั่งสามารถจับกุมคนร้ายและติดตามทรัพย์สินในคดีนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว จากการสืบสวนทราบว่าคนร้ายในคดีนี้คือ นายบรรจงฯ มีประวัติถูกดำเนินคดีดังนี้
1.สภ.พุทธมณฑล (จ.นครปฐม) “ข้อหา ลักทรัพย์ในเคหะสถานฯ” สถานที่เกิดเหตุ หอพักเนเจอร์เพลส ห้อง 406 หมู่ 5 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.51
2.สน.ห้วยขวาง (บก.น.1) ข้อหา “ชิงทรัพย์ฯ” สถานที่เกิดเหตุ ห้องเลขที่ 404 อพาร์ทเม้นเลขที่ 204 แยก ซอยประชาราษฏร์บำเพ็ญ 6 ถ.ประชาราษฎร์บำเพ็ญ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 ก.พ.53
3.สน.ดินแดง (บก.น.1) ข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเราฯ” เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.53
4.สน.ดินแดง (บก.น.1) ข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเราฯ” เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.53
โดยติดคุกจริง 1 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.54 ถึง วันที่ 11 ก.พ.60
โดยพฤติการณ์ในการก่อเหตุในคดีนี้
เมื่อวันที่ 13 ก.พ.62 เวลากลางวันนายบรรจงฯ คนร้ายเป็นผู้ไปลักเอาตู้เซฟที่ บ้านเลขที่ 619/1 ซอยลาดพร้าว 48 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ โดยได้อาศัยจังหวะที่เจ้าของไม่อยู่บ้าน ปีนข้ามกำแพง และได้เข้าไปในตัวบ้าน
จากนั้นได้รื้อค้นทรัพย์สิน และได้ลักเอาตู้เซฟขนาด 20 กิโลกรัม จำนวน 1 ใบ ห่ออำพรางด้วยผ้าถุงแล้วจึงได้ไปเรียกรถยนต์แท็กซี่ มารับที่บ้านจากนั้นได้เดินทางไป ซอยประชาสงเคราะห์ 27 ถนน ประชาสงเคราะห์ เพื่อจะหาซื้ออุปกรณ์งัดแงะแต่ร้านปิด จึงได้เรียกรถสามล้อไปต่อบริเวณสะพานควายเพื่อหาซื้ออุปกรณ์งัดแงะเช่นกันแต่ร้านก็ปิด
จึงได้เรียกรถยนต์แท็กซี่ไปที่ห้องพักที่ ซอยงามวงศ์วาน 18 ชื่อวันเพลส ซึ่งเป็นที่พักของนายบรรจงฯ จากนั้นจึงได้นำตู้เซฟขึ้นไปเก็บที่ห้องของตนเองชั้น 2 และไปยืมอุปกรณ์เลื่อยตัดเหล็กกับชะแลงเหล็ก ที่ยามของหอพักมาเพื่องัดเซฟเมื่องัดเซฟออกมาได้พบว่ามีถุงใส่ทรัพย์สินจำนวน 2 ถุง ซึ่ง 1 ถุงใส่เอกสาร และอึก 1 ถุงใส่ทองคำ
หลังจากที่นายบรรจงฯ งัดตู้เซฟสำเร็จและนำทรัพย์สินออกแล้ว ได้นำตู้เซฟดังกล่าวไปทิ้งลงคลองท้ายซอยจุฬาเกษม 16/4 ใกล้กับอพาร์ทเม้น วันเพลส ที่นายบรรจงฯ พักอาศัย เพื่อทำลายหลักฐาน (โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและนักดำน้ำมูลนิธิร่วมกตัญญู สามารถค้นหาและนำขึ้นมาจากคลองได้)
จากนั้นนายบรรจงฯ จึงได้เดินทางมาที่ ย่านมีนบุรีด้วยรถแท็กซี่ แล้วไปขอเพื่อนพักอาศัยอยู่ที่ หอพัก ปลื้มเรสซิเดนซ์ เขตมีนบุรี แล้วนำทองคำไปขายที่ร้านขายทองบริเวณ สี่แยกมีนบุรี 2 ครั้ง ครั้งแรก ขายไป 20 บาท ได้บาทละประมาณ 19,500 บาท และนำเงินไปจับจ่ายใช้สอย ต่อมาจึงนำไปขายอีกจำนวน 50 บาท ได้บาทละ 19,500 บาท เช่นกัน โดยเงินสดที่ได้ไปซื้อโทรศัพท์และเก็บเงินสดที่เหลือไว้กับตัว
ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2562 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวน ติดตามจนพบตัวนายบรรจงฯ และสามารถจับกุมตัวได้ พร้อมเงินสดจำนวน 995,290 บาท ที่ได้มาจากการขายทองคำดังกล่าวและมือถือของกลางที่เพิ่งซื้อมาใหม่จากการนำเงินดังกล่าวไปซื้อมาจึงได้ทำการขยายผลติดตามหาทรัพย์สินที่เหลือ
โดยจากการสืบสวนทราบว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 เวลากลางคืน นายบรรจงฯ ได้ไปขอพักอาศัยกับเพื่อนที่เหมือนฝัน รีสอร์ท ถนนหทัยราษฎร์ แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ โดยได้แอบซุกซ่อนกระเป๋าใส่ทรัพย์สินที่เหลือไว้ในห้องดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นพบว่ามีทองคำแท่งน้ำหนักรวม 221 บาท และทองรูปพรรณ จำนวน 2 ชิ้น และเงินสดจำนวน 54,000 บาท พร้อมทรัพย์สินอื่นอีกจำนวนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ จึงได้ทำการตรวจยึดเพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป
รวมทรัพย์สินที่สามารถติดตามคืนมาได้ประกอบด้วย
1.ทองคำแท่ง น้ำหนักรวม 221 บาท คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,400,000 บาท
2.ทองคำรูปพรรณ จำนวน 2 เส้น
3.เงินสดที่ได้จากการขายทองคำ จำนวน 1,049,290 บาท
4.พระเครื่องเลี่ยมกรอบทองคำ จำนวน 1 องค์ มูลค่าประมาณ 5,500,000 บาท