พ.อ.ศิวะ หว่างอากาศ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2568 เวลา 1425 ชุด ช.สนาม กองกำลังสุรนารี ได้จัดกำลังพลสนับสนุนภารกิจตรวจค้นทุ่นระเบิด บริเวณรอบ ปราสาทตาควาย ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งระหว่างปฏิบัติภารกิจได้เกิดเหตุกำลังพล สังกัด ช.พัน 6 พล.ร.6 เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ส่งผลให้กำลังพลบาดเจ็บ 3 นาย โดย 1 นาย มีอาการสาหัส เท้าซ้ายขาด ซึ่งเป็นการเกิดเหตุรุนแรงรายที่ 9 ของทหารไทย จากการตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุเพิ่มเติมโดยหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิด พบการติดตั้งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 อีกจำนวน 4 ทุ่น วางเรียงต่อเนื่องตามเส้นทางเคลื่อนที่ของกำลังพล โดยอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียงประมาณ 30 เซนติเมตร

ลักษณะการวางทุ่นระเบิดดังกล่าวแสดงถึงการจงใจมุ่งหมายให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่และบุคคลที่สัญจรผ่านพื้นที่อย่างชัดเจน ซึ่งขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากล มุ่งทำร้ายและคุกคามต่อชีวิตมนุษย์โดยไม่เลือก

ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอยืนยันว่า การกระทำของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงมีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างต่อเนื่อง และมีการวางแผนการใช้งานทุ่นระเบิดอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากฝ่ายไทยได้ตรวจยึดทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 และทุ่นระเบิดดักรถถังจำนวนมาก รวมทั้งสมุดบันทึกการสอนการวางทุ่นระเบิด บันทึกเป้าหมายการวางทุ่นระเบิดที่มีการระบุพิกัด GPS และ บันทึกรูปแบบ การวางทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา อีกทั้งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของฝ่ายกัมพูชาที่มุ่งคุกคามฝ่ายไทย และรุกล้ำอาณาเขตของไทยอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ที่ไทยและกัมพูชาล้วนเป็นรัฐภาคี อย่างร้ายแรงโดยไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ อีกทั้งยังเป็น การปรากฏชัดว่าฝ่ายกัมพูชายังคงจงใจไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียในประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน

ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอประณามการกระทำดังกล่าวอย่างถึงที่สุด และขอย้ำว่าการ ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในทุกกรณี เป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมรับได้ในสังคมโลก อีกทั้งเป็นการแสดงออกถึง ความไม่จริงใจ ที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างสองประเทศ เพื่อให้เกิดสันติสุขในภูมิภาค รวมทั้งเป็นการทำลายความเชื่อมั่นต่อทุกประเด็นที่กัมพูชาเคยให้คำมั่นในปฏิญญาต่อประชาคมโลก ทั้งระดับทวิภาคีและระดับนานาชาติ

