ป.ป.ช.–ปปง. ผนึกข้อมูล ลุยตรวจเส้นทางเงินคดีสแกมเมอร์ 1 หมื่นล้าน ขยายผลโยง จนท.รัฐ

78

ป.ป.ช. เข้าหารือ ปปง. ขอข้อมูลลึกคดีสแกมเมอร์ข้ามชาติ หลังมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์กว่า 10,000 ล้านบาท มุ่งตรวจเส้นทางเงิน-ดูว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหรือเอื้อประโยชน์หรือไม่ พร้อมย้ำภาพถ่ายกับผู้ต้องสงสัยเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงลึก ก่อนดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา



วันนี้ (11 ธันวาคม 2568) ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ นายพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายธนิต สุวรรณากาศ ผู้อำนวยการกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว1 พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. เข้าประชุมหารือกับนายเทพสุ บวรโชติ เลขาธิการ ปปง. นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. และในฐานะโฆษกสำนักงาน ปปง. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือและประสานข้อมูลร่วมกัน หลัง ปปง. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์ของบุคคลที่เชื่อมโยงกับกลุ่มสแกมเมอร์ข้ามชาติ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท

นายพัฒนพงศ์ บอกว่า การหารือครั้งนี้ ป.ป.ช. ได้ขอข้อมูลเชิงลึกว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดเข้าไปมีส่วนร่วม เอื้อประโยชน์ หรืออำนวยความสะดวกให้กลุ่มสแกมเมอร์หรือไม่ เพื่อให้ ป.ป.ช. สามารถขยายผลตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานยังวางแนวทางบูรณาการข้อมูลร่วมกัน เพื่อใช้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าข่ายเป็น “บุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง” ตามประกาศ ปปง. ปี 2568 รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลหรือข้อร้องเรียนที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ

นายพัฒนพงศ์ ระบุว่า การทำงานร่วมกันระหว่าง ป.ป.ช. และ ปปง. จะใช้กฎหมายของทั้งสองหน่วยงานควบคู่กัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ทั้งในเชิงรุกและเชิงลึก พร้อมเปิดรับข้อมูลจากสื่อและประชาชน เพื่อเร่งสกัดปัญหาทุจริตให้ทันท่วงที

นายพัฒนพงศ์ ยังได้ชี้แจงบทบาทของ ป.ป.ช. ว่าจะตรวจสอบเส้นทางการเงินและเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นระดับปฏิบัติการหรือระดับนโยบาย หากพบว่ามีการใช้อำนาจมิชอบ หรือเอื้อประโยชน์ จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หากเจ้าหน้าที่รัฐมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ป.ป.ช. สามารถไต่สวนเรื่อง “ร่ำรวยผิดปกติ” ได้ รวมถึงการตรวจสอบภาพถ่ายกับบุคคลตามข่าว ซึ่งภาพถ่ายเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ถูกกล่าวหาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น จะต้องดูพฤติการณ์ว่ามีการเอื้อประโยชน์โดยมิชอบหรือไม่ โดยไม่ต้องรอเจ้าทุกข์แจ้งเรื่องร้องเรียน ทางป.ป.ช. ทำหน้าที่แทนรัฐ สามารถเริ่มไต่สวนได้ทันที หากมีเหตุอันควรสงสัย ไม่จำเป็นต้องรอให้มีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ

ด้านนายวิทยา ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการยึดอายัดทรัพย์ และการขยายผลสู่เจ้าหน้าที่รัฐ
ของคดี 1 หมื่นล้าน ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอน “ยึดและอายัดชั่วคราว” กำหนดระยะเวลา90 วันโดยเจ้าของทรัพย์มีเวลา 30 วันในการเข้ามาชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือจากปปง. หากชี้แจงไม่ได้ ทางปปง.จะส่งเรื่องให้อัยการฟ้องศาลเพื่อให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน หรือนำมาเฉลี่ยทรัพย์คืนให้ผู้เสียหาย

ส่วนการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐ นายวิทยา บอกว่า เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงชัดเจน แต่กำลังขยายผลดูเส้นทางการเงินว่ามีส่วนไหนที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปรู้เห็นเป็นใจ หรืออำนวยความสะดวกในการโอนย้ายถ่ายเทหรือไม่

ส่วนกรณีภาพถ่ายคนดังกับผู้ถูกกล่าวหา นายวิทยา ยอมรับว่าเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการตรวจสอบความสัมพันธ์ แต่ลำพังแค่ภาพถ่ายยังบอกไม่ได้ว่าผิด ต้องพิสูจน์ทราบถึง “ความสัมพันธ์เชิงลึก” และธุรกรรมทางการเงิน พร้อมยืนยันว่าหน่วยงานรัฐสงสัยเช่นเดียวกับประชาชน และขอเวลาตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ถามต่อว่าจะต้องเรียกบุคคลเหล่านั้น เข้ามาชี้แจง และตรวจสอบหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า จะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาตรวจสอบถึงความสัมพันธ์ โดยปปง. ระบุว่าภาพถ่ายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถชี้ชัดความผิด จะต้องมีปัจจัยอื่นๆ ถึงจะมีความเป็นธรรมกับทุกคน ซึ่งจะต้องตรวจสอบเชิงลึกว่ามีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินมากน้อยเพียงใด

เมื่อถามถามการโยกย้ายทรัพย์สิน นายวิทยา ยอมรับว่าข่าวรั่วนานแล้ว คนผิดอาจโยกย้ายทรัพย์ไปบ้าง แต่ ปปง. ใช้มาตรการ “มีเหตุอันควรเชื่อ” เข้ายึดทรัพย์ไว้ก่อน ซึ่งยอด 1 หมื่นล้านบาทถือว่ามากและเป็นรูปธรรม

การตรวจสอบเรื่องนี้มีความกังวลว่าจะไม่ถึงตัวการใหญ่ นายวิทยา บอกว่า ขอให้รอดูเพราะทุกอย่างเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ส่วนใครจะปรามาสอย่างไรขอให้รอดูบทสรุป ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

สุดท้ายจะเป็น “มวยล้มต้มคนดู” หรือไม่ หรือมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปก่อนหน้าที่จะมีการยึดและคืนในที่สุด นายวิทยา ระบุว่า ขอให้รอดู ผลการปฏิบัติ

ส่วนกรณีที่กระทรวงดีอีฯ ได้ทำ MOU ร่วมกับบริษัทเอกชนในสิงคโปร์ นั้น นายวิทยา บอกว่า เรื่องนี้จะต้องมีการติดตามสืบสวนสอบสวนให้เกิดความชัดเจนก่อนว่าเป็นโครงการดำเนินการอย่างไรบ้าง เพราะในกระบวนการโดยปกติจะต้องมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่จะต้องดูในขั้นตอนการดำเนินการว่าทำถูกต้องหรือไม่ และรู้เห็นเป็นใจให้กับกลุ่มบุคคลเหล่านี้หรือไม่ นอกจากนี้ กรณีที่เคยมีกระทรวงหน่วยงานใดของไทย หรือบริษัทนิติบุคคลใดได้เคยทำโครงการ หรือสัญญาการจ้างกับนายเบน สมิธ หรือบริษัทของนายเบน สมิธ นั้น เราก็จะดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังเช่นเดียวกัน โดยระยะเวลาการย้อนหลังไปตรวจสอบ ก็จะยึดตามอายุความทางกฎหมาย คือ 10 ถึง 15 ปี