เวทีสาธารณะวันรัฐธรรมนูญเดือด! นักวิชาการ–ภาคประชาชนร่วมฉะโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์ ชี้ประชาธิปไตยไทยถูก “สแกมเมอร์” ยึดครอง จนประชาชนไร้อำนาจตัวจริง พร้อมเรียกร้องสร้างประชาธิปไตยฐานล่าง กระจายอำนาจท้องถิ่น และคืนสิทธิให้ประชาชนอย่างแท้จริง

กรุงเทพฯ – เครือข่ายสื่อเพื่อการเปลี่ยนแปลง ร่วมกับศูนย์กฎหมายและนโยบายสุขภาวะ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และสถาบันสานพลังประชาชน เตรียมจัดเวทีสาธารณะประชาชนเนื่องในวันรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 ธันวาคม 2568 ณ ห้องทับทิม โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ เพื่อเปิดพื้นที่ให้สาธารณะร่วมแลกเปลี่ยนข้อเสนอว่าด้วยการปฏิรูประบบการเมืองและการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
ตลอดทั้งวันจะมีการเสวนา 2 ช่วงสำคัญ ช่วงเช้า (10.00–12.00 น.) ว่าด้วยหัวข้อ “ปฏิรูปรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างไร เพื่อสร้างรากฐานประชาธิปไตยให้ยั่งยืน” โดยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการเมือง อาทิ ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ, รศ.ดร.โภคิน พลกุล, รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว และคุณนคร มาฉิม ดำเนินรายการโดย คุณเมธา มาสขาว
ช่วงบ่าย (13.00–15.30 น.) เวทียังคงต่อเนื่องด้วยประเด็น “วาระประชาชนใหม่: ยุทธศาสตร์การกระจายอำนาจ กับการสร้างพื้นที่เข้มแข็งโดยภาคประชาสังคม” ร่วมแลกเปลี่ยนโดยผู้แทนเครือข่ายภาคประชาชนจากหลายภูมิภาค นักวิชาการ และตัวแทนสื่อท้องถิ่น นำโดยคุณลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ คุณสมบูรณ์ คำแหง ดร.ศักดิ์ณรงค์ มงคล คุณเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ ผศ.ดร.วรวิทย์ นพแก้ว และตัวแทนภาคีอื่นๆ ดำเนินรายการโดยคุณสุปัน รักเชื้อ
ช่วงเช้า: ชำแหละ “ประชาธิปไตยเทียม” สู่ฉบับ “สแกมเมอร์” เวทีช่วงเช้าเริ่มด้วยการอภิปรายหัวข้อ “ปฏิรูปรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างไร เพื่อสร้างรากฐานประชาธิปไตยให้ยั่งยืน” โดยวิทยากรต่างเห็นตรงกันว่าประชาธิปไตยไทยยังไม่หยั่งรากลึก
ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ เปิดประเด็นชี้ว่า 93 ปีที่ผ่านมา ไทยมีแต่ “ประชาธิปไตยเทียม” ที่เป็นของชนชั้นนำ นายทุน และขุนศึก ซึ่งเป็นระบบจากบนลงล่าง (Top-down) ทำให้ประชาชนอ่อนแอ จึงเสนอว่าทางรอดเดียวคือการสร้าง “ประชาธิปไตยฐานล่าง” ที่ชุมชนต้องเข้มแข็งและจัดการตนเองได้ เพื่อเป็นฐานค้ำจุนประชาธิปไตยระดับชาติ

ด้าน รศ.ดร.โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา กล่าวเน้นย้ำถึงกับดัก “รัฐราชการอำนาจนิยม” และวัฒนธรรมอุปถัมภ์ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ประชาชนยากจนลง สวนทางกับข้าราชการที่เพิ่มขึ้นแต่ประสิทธิภาพต่ำ ท่านเสนอให้เปลี่ยนจากการเมืองทุจริตเป็นการเมืองสุจริต และปฏิรูปการศึกษาลดเวลาเรียนเพื่อสร้างคนคุณภาพ รวมถึงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้คนตัวเล็ก (SME) ทั้งนี้ รศ.ดร.โภคิน ยังกล่าวว่า “เมื่อมันเป็นระบบอำนาจนิยมอุปถัมภ์มันก็จบแล้วความเหลื่อมล้ำเกินขึ้นทุกมิติและวันนี้ประชาชนก็จนชิบหาย เราจะต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงเราจะต้องปลุกพี่น้องประชาชน ธูป 1 เสียนเทียน 1 เล่ม ถ้ามันจุดขึ้นมาพร้อมกันทั้งประเทศมันก็เกิดความเปลี่ยนแปลง”
ขณะที่ รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปัจจุบันอย่างเผ็ดร้อน โดยนิยามว่าเป็น “ประชาธิปไตยสแกมเมอร์” ที่โครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองถูกยึดครองโดยกลุ่มทุนเครือข่ายอุปถัมภ์ เปรียบเสมือนขบวนการต้มตุ๋นที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ และชี้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 คือเครื่องมือฟื้นคืนอำนาจของกลุ่มอนุรักษ์นิยมผ่านกลไกวุฒิสมาชิก
โดย รศ.ดร.โอฬารได้ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ปัญหาในเชิงการเมือง ประชาธิปไตยทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยสแกมเมอร์ เป็นระบบการเมืองที่น่ากลัว เมื่อก่อนก็แค่กินหัวคิวหักเปอร์เซ็นต์ กินหิน กินดิน กินทราย กินปูน แต่ในวันนี้เป็นประชาธิปไตยที่ขบวนการประจำเมื่อสามารถยึดครองได้แล้ว โครงสร้างเศรษฐกิจถูกสแกมเมอร์หยกครอง ความสัมพันธ์ของชนชั้นนำไทยเกิดขึ้นผ่านการแต่งงาน เข้าไปอยู่ในตลาดทุนเข้าไปอยู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ กลายเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจหลักของประเทศ”

ปิดท้ายช่วงเช้าด้วย นายนคร มาฉิม ที่ระบุว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายประชาธิปไตย โดยมองว่าสภาผู้แทนราษฎรกลายเป็นเพียงเวทีต่อรองผลประโยชน์ที่หวังพึ่งไม่ได้ จึงเรียกร้องให้ประชาชนรวมพลังกันภายนอกสภาเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม แม้ “ในวันที่สำคัญยิ่งของประเทศ แต่ว่าตอนนี้ ถูกลดคุณค่า จากเดิมที่เป็น หมุดหมาย ตอนนี้เขาไม่ให้เป็น หมุด แล้ว มันสื่อนัยยะอะไรครับ มันสื่อนัยยะว่า ณ ตอนนี้อำนาจฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือว่าฝ่ายเผด็จการซ่อนรูปนะครับ เขาได้ รุกคืบ เข้ามา ต่อกร ฝ่ายประชาธิปไตยมาแทบจะ ปิด ทุกด้านอย่างครบถ้วน”
ช่วงบ่าย: ภาคประชาชนประสานเสียง ชี้ “รัฐรวมศูนย์” ล้มเหลว จี้คืนอำนาจสู่ท้องถิ่น
เวทีเสวนาในช่วงบ่ายดำเนินต่อในหัวข้อ “วาระประชาชนใหม่ และเสียงสะท้อนจากภูมิภาค” โดยเน้นบทเรียนจากความล้มเหลวของการบริหารจัดการภาครัฐและการรวมศูนย์อำนาจ นางลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธาน ครป. เปิดประเด็นด้วยการยกกรณีวิกฤตน้ำท่วมแม่สาย-หาดใหญ่ ที่สะท้อนชัดเจนว่า “รัฐรวมศูนย์มีสภาพง่อยเปลี้ยเสียขา” ไม่สามารถแก้ปัญหาหน้างานได้ทันท่วงที
ในขณะที่ภาคประชาสังคมกลับทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า จึงเสนอให้ประชาชนลุกขึ้นมาผลักดันกฎหมายเอง ดังเช่นความสำเร็จของ พ.ร.บ.อากาศสะอาด พร้อมเรียกร้องให้ท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอย่าง กทม. ต้องหลุดพ้นจากการกำกับดูแลที่ล่าช้าของกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สามารถจัดการตนเองได้อย่างแท้จริง โดยนางลัดดาวัล์ได้กล่าวว่า “เรื่อง พ.ร.บ. อากาศสะอาด เป็นการผลักดันของพลเมืองเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าพลเมืองก็สามารถลุกขึ้นมาล่ารายชื่อ กดดันล็อบบี้นักการเมือง และ ส.ส จนผ่านเป็นมติเอกฉันท์ ต้องเห็นด้วยแต่ตอนนี้อยู่ในวุฒิสภาแช่อยู่ เราก็รู้ว่ากลไก ส.ว. มาอย่างไร และมีโอกาสที่จะล้มถ้าหากมีการยุบสภาเร็ว ๆ นี้”
ด้าน ดร.ศักดิ์ณรงค์ มงคล ชี้ให้เห็นปัญหาในเชิงโครงสร้างกฎหมายว่า ปัจจุบันรัฐส่วนกลางพยายามดึงอำนาจกลับและลดทอนความเข้มแข็งของสิทธิชุมชนลง จึงเสนอทางออกว่าต้องเร่งส่งเสริมสภาพลเมืองเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนในท้องถิ่นมีสิทธิและอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะและร่วมวางแผนอนาคตการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ไม่ใช่รอคำสั่งจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว โดยเขาย้ำว่า “ต้องส่งเสริมการรวมกลุ่มรวมกันเป็นขบวนการทำงานร่วมกัน การให้คนในพื้นที่เขาสามารถที่จะใช้ความต้องการและแสดงเจตจำนงร่วมของประชาชที่จะวางเป้าหมายอนาคตการพัฒนานโยบายสาธารณะให้มันเกิดขึ้นจริง เพราะฉะนั้นเรื่องสภาพลเมืองเป็นเรื่องที่จะต้องส่งเสริมและขับเคลื่อน สิ่งเหล่านี้คือการจะใช้อำนาจที่สำคัญรูปแบบหนึ่ง”
ขณะที่ ผศ.ดร.วรวิทย์ นพแก้ว วิเคราะห์เจาะลึกถึงรากฐานปัญหาว่า การรวมศูนย์อำนาจรัฐที่มีมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้รัฐผูกขาดอำนาจเหนือทรัพยากร ดิน น้ำ และป่าไม้ ซึ่งกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และคนชายขอบ นำมาสู่ความยากจนซ้ำซาก จึงเสนอว่าสังคมไทยต้องรื้อถอนโครงสร้างความรู้ที่รับใช้อำนาจรัฐและทุนนิยมผูกขาด แล้วหันมาสร้างเครือข่ายพลังประชาชนในแนวราบเพื่อทวงคืนอำนาจในการจัดการทรัพยากร โดยเขาให้ข้อสังเกตว่า “เราเห็นกลุ่มชาติพันธุ์ต้องออกมาถือป้ายรณรงค์เรียกร้องรัฐธรรมนูญ มันสะท้อนอะไรบางอย่างกับพี่น้องชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ ชาวนา สมัชชาคนจน ทำไมยังมีคนจนอยู่เลยครับสมัยรัชกาลที่ 5 เราบอกว่าเราจำเป็นสังคมที่ศิวิไลซ์ผ่านมาร้อยกว่าปีเราก็ยังมีคนจนอยู่”
สอดคล้องกับเสียงจากภาคใต้ นายสมบูรณ์ คำแหง ที่กล่าวเปรียบเทียบว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 คือฉบับที่เปิดประตูให้ภาคประชาชนเข้มแข็งที่สุด ต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยสิ้นเชิง พร้อมย้ำว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จำเป็นต้องบัญญัติเรื่อง “การกระจายอำนาจ” ไว้ให้ชัดเจน เพราะประชาธิปไตยที่มั่นคงต้องเริ่มต้นสร้างฐานที่แข็งแรงจากประชาชนระดับล่างขึ้นมา โดยนายสมบูรณ์ยังได้ยกตัวอย่างว่า “ถ้าจะหยิบยกชุดบทเรียนต่างจังหวัดสตูลบ้านผม อยากเล่าให้ฟัง เวลาที่เรานั่งกันอยู่ตรงนี้เราอาจจะรู้สึกว่าสังคมมันไม่ขยับ แต่ผมบอกได้เลยว่าหลังการมีรัฐธรรมนูญปี 2540 มันคือประตูที่เปิดให้ประชาชนสามารถเคลื่อนไหวได้ มันอาจจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ดีที่สุด แต่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งที่เปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนในฐานล่าง เป็นประชาธิปไตยที่อยู่กับประชาชนข้างล่าง ธรรมนูญฉบับนั้นได้สร้างกลไกองค์กรอิสระในประเทศนี้ให้เกิดการต้านทานอำนาจ และสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากคือรัฐธรรมนูญฉบับนั้นมันทำให้เกิดกลไกขององค์กรที่ทำให้เกิดการก่อตัวของภาคประชาชน”

นายเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ สื่อมวลชนอาวุโสจากขอนแก่น ที่เน้นย้ำบทบาทของสื่อท้องถิ่นในการเป็นปากเสียงให้คนตัวเล็กตัวน้อยและตรวจสอบอำนาจรัฐ พร้อมนำเสนอข้อเรียกร้องสำคัญจากขบวนการภาคอีสาน 3 ประการ คือ 1. ประชาชนต้องมีอำนาจเข้าชื่อถอดถอนนักการเมืองและองค์กรอิสระได้ 2. ต้องมีการจัดตั้งศาลสิทธิมนุษยชน และ 3. ต้องผลักดันกฎหมายป้องกันการผูกขาดทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืนโดยเขากล่าวว่า “ที่ขอนแก่นมีขบวน กป.พอช. อีสานที่ทำงานเชื่อมร้อยกับ กป.พอช. ชาติ ก็เคลื่อนประเด็นรณรงค์สร้างความเข้าใจรัฐธรรมนูญและเรียกร้องให้มีการกระจายอำ”นาจและพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนเรื่องความหลากหลายทางเพศ และเรื่องการตรวจสอบอำนาจรัฐ”
ด้าน นายแพทย์ปรีดา แต้พานิช ผู้เชี่ยวชาญนโยบายระบบสุขภาพท้องถิ่น ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้กล่าวไว้ถึงพลังของประชาชนอ่างมีนัยยะว่า “ถ้าพื้นที่ไม่แข็งแรง ประชาชนไม่เข้มแข็งพอ ไม่มีเสียงดังที่เพียงพอนะครับ ก็จะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศได้น้อยนะครับ มันก็เหมือนกับเขาเรียกว่า หมาป่ากับลูกแกะ มันก็จะกินทีละตัว แต่ถ้าเรามีเยอะๆ ก็พอไหว”

