หน้าแรกการเมือง“ประชาธิปัตย์ กทม.” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ มีผู้สนใจมาเสนอตัวมากกว่า 150 คน แห่ลงสมัครคัดเลือกเป็นตัวจริง เพื่อเป็นตัวแทนพรรคลงเลือกตั้งใน 33 เขต กทม....

“ประชาธิปัตย์ กทม.” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ มีผู้สนใจมาเสนอตัวมากกว่า 150 คน แห่ลงสมัครคัดเลือกเป็นตัวจริง เพื่อเป็นตัวแทนพรรคลงเลือกตั้งใน 33 เขต กทม. ภายใต้แคมเปญ- สส.ที่ดี…”คุณเองก็เป็นได้นะ”

นับเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภายใต้แคมเปญ – สส.ที่ดี…”คุณเองก็เป็นได้นะ” ของพรรคประชาธิปัตย์ ณ โรงแรม เมอร์เคียว มักกะสัน

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ด้านนโยบายภาพรวม นายสกลธี ภัททิยกุล รองหัวหน้าพรรค ดูแลกรุงเทพมหานคร และนางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรค ดูแลด้านสตรี เยาวชน ความยั่งยืน มาร่วมเปิดงาน First Meet Bangkok ก้าวแรก นัดเปิดสนาม จุดพลังไอเดีย เป้าหมายเพื่อคนกรุงเทพฯและคนไทยทุกคน

ทั้งนี้ นายสกลธี ภัททิยกุล รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่าเป็นภาพลักษณ์ใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากเปิดตัวแคมเปญ – สส.ที่ดี…”คุณเองก็เป็นได้นะ” ปรากฏมีผู้สนใจเข้ามาสมัครมากกว่า 150 คน เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนของพรรคในการลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แเทนราษฎร 33 เขตในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่มีบุคคลให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และเกินความคาดหมายของตนเองด้วย

“พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดรับผู้สนใจในแคมเปญนี้และสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีกระแสตอบรับดีมาก ทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มคนที่ไม่ใช่นักการเมือง แต่มีใจรักและมีความมุ่งมั่น เพราะมีความรู้ทางวิชาการจริงๆ หวังนำองค์ความรู้เหล่านี้ ที่แต่ละบุคคลมีประสบการณ์ มาช่วยและร่วมกันพัฒนากรุงเทพฯ และประเทศ” นายสกลธี กล่าว

นายสกลธี กล่าวต่อว่า ครั้งนี้เป็น First Meet หรือเป็นการนัดพบกันครั้งแรกของบรรดาผู้สนใจสมัคร เพื่อเป็นการระดมสมอง ระดมความคิด เพราะเชื่อว่าทุกคนที่มาร่วมกันในครั้งนี้ ต่างมาด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจสุจริต และอยากจะเห็นการเมืองสุจริตภายใต้พรรคประชาธิปัตย์เหมือน ๆ กัน ซึ่งการมาพบกันรอบนี้ ไม่ได้จบเพียงครั้งนี้ แต่เรายังมีการระดมความคิดอย่างนี้อีกในครั้งถัดไป เพื่อนำไอเดียที่เกี่ยวกับกรุงเทพฯ และประเทศ มาออกแบบในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน

“ทุกท่านที่เข้ามาสมัครเพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนของพรรคใน 33 เขตกทม. ต่างถือว่าเราเป็นครอบครัวประชาธิปัตย์ ที่สามารถเข้ามาช่วยระดมสมองในการพัฒนากรุงเทพฯ และประเทศไปพร้อมกันได้” นายสกลธี กล่าว

นายสกลธี กล่าวเสริมว่าหลังจากการพบกันครั้งแรกของผู้สมัครในวันนี้แล้ว ในวันที่ 15-16 ธันวาคมที่จะถึง จะมีการสัมภาษณ์รายบุคคล และพิจารณาจากข้อมูลส่วนตัวแต่ละท่าน ให้กรรมการคัดสรร และเสนอคณะกรรมการบริหาร เพื่อขอมติเลือกผู้เหมาะสมในวันที่ 24 ธันวาคม 2568

“ขอให้มั่นใจว่ากระบวนการคัดเลือกผู้สมัครลงเลือกตั้ง สส.เขตกทม. ของพรรคประชาธิปัตย์มีครบถ้วนทุกกระบวนการตามกฏหมาย และความชอบธรรม” นายสกลธี กล่าว

นายสกลธี บอกอีกว่า ตนเองก็เป็นเหมือนทุกคน เพราะครั้งแรกที่ตนเดินเข้ามาในพรรคปี 2550 ตนไม่รู้จักท่านอภิสิทธิ์ ท่านกรณ์เลย แต่พรรคก็ให้โอกาสตน จนมีพื้นที่และมีการทำงานทางการเมืองมาจนถึงวันนี้ และขอให้ทุกคนมั่นใจในกระบวนการของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเราทุกคนในวันนี้จะเปลี่ยนให้กรุงเทพมหานคร เป็นกรุงเทพฯ ฟ้าใหม่ ไปด้วยกัน

ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวขอบคุณผู้สมัครทุก ๆ คน ที่อาสาตัวเข้ามาลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคประชาธิปัตย์ และอยากให้ทุกท่านทราบว่าสิ่งที่เราทำในวันนี้ ถือเป็นสิ่งใหม่ ที่เราไม่ได้ทำมาก่อน

“ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าในอดีตไม่มีกระบวนการ หรืออะไร แต่ต้องบอกว่าในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันและสถานภาพของพรรคในวันนี้ มันเหมือนเป็นเหตุการณ์พิเศษ เพราะสมัยผมลงเลือกตั้งครั้งแรกปี 2535 ในยุคนั้นนอกจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่เก่าแก่ที่สุดแล้ว ยังมีโครงสร้างสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งพอสมควร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังเล่าอีกว่า ตอนที่ตนเองอายุ 27 ปี ตนมีความตั้งใจอยากทำงานการเมือง ตนก็ขอลงสมัครเลือกตั้ง แต่ก่อนหน้านั้นตนได้เข้ามาทำงานเป็นอาสาสมัคร ในสมัยที่ท่านพิชัย รัตตกุล เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นผู้ติดตามท่านอดีตนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ซึ่งในช่วงนั้นท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

“แม้ช่วงหนึ่งผมจะทำงานกับทั้ง 2 ท่าน แต่พอถึงเวลาจริงๆ เมื่อสมัครเข้ามาเพื่อลงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งหนึ่งในสมัยนั้น ซึ่งเป็นเขตใหญ่ โดยมีท่านอาจารย์มารุต บุนนาค เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งท่านบอกกับหัวหน้าชวน ในขณะนั้นว่าไม่รับคนมีอายุน้อย”

นายอภิสิทธิ์ เล่าอีกว่า แต่ในเขตติดกัน ดร.เจริญ คันธวงศ์ ท่านโทรมาหาและสนใจคนหนุ่มที่เป็นอาจารย์ อยากให้มาลงสมัครเหมือนกัน ก็เรียกตนไป ตนก็คิดว่าจะได้ลงสมัคร

“โดยท่านบอกผมว่า ท่านก็ชอบแต่ท่านก็ช่วยอะไรผมไม่ได้ โดยผมต้องช่วยตัวเอง และได้ส่งผมไปสาขา ผมก็ต้องเดินทางไปสาขา เพราะจะมีกรรมการสาขา สัมภาษณ์ผมเสร็จบอกว่าพูดจาใช้ได้ และให้ไปลงพื้นที่ หนึ่งถึงสองสัปดาห์ เพื่อดูว่าการทำงานหาเสียงเข้ากับชาวบ้านได้หรือไม่ จนกระทั่งสุดท้ายผมถึงได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.ในพรรคประชาธิปัตย์” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ บอกว่าที่ตนเล่ามาทั้งหมดนี้ เพื่อที่จะบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่จริง ๆ แล้ว เปิดโอกาสให้กับทุกคนและหลีกเลี่ยงการที่จะใช้ระบบอุปถัมภ์ เส้นสาย ซึ่งไม่ได้บอกว่าเราทำได้สมบูรณ์ หรือดีมาโดยตลอด เพราะบางช่วงบางยุคเราก็ถูกมองว่าอาจจะละทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปส่วนหนึ่ง แต่วันนี้เป็นโอกาสดี พรรคเรากำลังเริ่มต้นใหม่ จึงเป็นโอกาสดีที่ทางพรรคได้ตัดสินใจเปิดกว้าง และพวกเราได้มีโอกาสนำเสนอตัวเอง แต่ก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องทำตามกฏหมายในเรื่องของการส่งให้สาขาเป็นผู้ให้ความเห็นต่อผู้สมัคร ก่อนที่จะกลับเข้ามาคัดสรรในคณะกรรมการสรรหา และจบที่คณะกรรมการบริหารพรรค

“หลังจากที่ทุกคน ได้รับฟังความชัดเจนในขบวนการคัดเลือก แต่ทุกคนก็ยังยืนหยัด เพราะผู้สนใจมาสมัครในครั้งนี้มากกว่า 150 คน แต่มีแค่ 33 เขต ซึ่งก็จะมีคนที่ไม่ได้ลงสมัครเลือกตั้งมากกว่าคนที่ได้ลงสมัคร แต่ผมก็ขอย้ำว่าไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้ทำงานการเมือง หรือจะไม่ได้รับโอกาสหรือจะไม่ได้มีส่วนช่วยในการทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์ให้กับประเทศ แต่ผมยืนยันได้ว่าคณะกรรมการทุกคนจะพยายามทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรมที่สุด” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังเน้นย้ำว่า ตนขอยืนยันถ้าพวกเรามีความตั้งใจทำงานการเมืองตามอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เราไม่ทิ้งกัน และเราจะเดินไปด้วยกันและหาบทบาทหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมและหวังว่าพวกเราจะได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำงานด้วยกันกับประชาชนต่อไป

ด้านนายกรณ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ตนอยู่พรรคประชาธิปัตย์มาและออกจากพรรคและกลับเข้ามาครั้งนี้ กิจกรรมแบบนี้ไม่เคยมีการจัดมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้รวมตัวสำหรับผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครในกรุงเทพฯ ในจำนวนที่มากขนาดนี้ และเป็นจังหวะเดียวกับเราอยู่ในช่วงของการสร้างพรรคขึ้นมาใหม่ และต้องการสื่อสารให้ทุกคนรับรู้และเข้าใจวัตถุประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่าตั้งใจที่จะทำอะไรให้ประชาชน ให้กับบ้านเมือง

“ผมอยากบอกว่าจังหวะชีวิตการเมืองของแต่ละคนไม่ได้ต้องเหมือนกัน และไม่มีสูตรสำเร็จ ผมคิดว่าพื้นฐานที่ต้องมีอันดับแรก คือต้องมีจิตสาธารณะ เราต้องมีความรู้สึกอยากจะทำอะไรบางอย่างให้กับคนอื่น ให้กับสังคม” นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ ย้ำว่าที่ตนเข้ามาสู่การเมืองตอนนั้น ตนมีเพียงความรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ช่วยได้ และมีความมั่นใจว่าสิ่งที่ตนสะสมมา 20 ปี ของการทำงานก่อนที่จะมาเป็นผู้สมัครคือความรู้ เรื่องเศรษฐกิจเรื่องการเงิน ในมุมอุตสาหกรรมประเทศไทยยังขาดอะไรบ้าง และต้องการอะไรซึ่งคิดว่าถึงจังหวะที่เราต้องเข้ามาช่วย

“ช่วงนั้นผมคิดว่าทำไมเราต้องรอพึ่งคนอื่น เรามีความพร้อมที่จะช่วยและมีความสามารถในการที่จะพัฒนาบ้านเมืองให้ดีขึ้นผมคิดแค่นั้น หลังจากเข้ามา ผมได้เริ่มสัมผัสและรับรู้ถึงประเด็นความเดือดร้อน ความเจ็บปวด ความต้องการของพี่น้องประชาชน ซึ่งสำหรับตัวเองแล้วถือว่าตัดสินใจถูก เพราะวินาทีนั้นทำให้เราซึมซับโดยไม่รู้ตัวว่าประชาชน คือผู้ให้โอกาสเราและคือเจ้านายที่แท้จริงของเรา”

“อะไรที่เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นสิ่งที่เราอยากทำสุดท้าย ก็คือชีวิตที่แท้จริงของพี่น้องประชาชน ที่ฝากความหวังไว้กับเรา นี่คือกระบวนการของการเป็นผู้แทนและผู้สมัคร”

ท้ายนี้ นายกรณ์ กล่าวแสดงความยินดีที่ผู้สมัครทุกท่านที่ได้ตัดสินใจก้าวเข้ามาเป็นนักการเมือง และดีใจที่ทุกท่านเลือกพรรคประชาธิปัตย์

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img