เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 เวลา 16.30 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.ต.ท. รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสอบสวนคดีพิเศษ นายธนะ โชคพระสมบัติ รองผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แถลงปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อนภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “Operation Copperhead”

นายอนุทิน กล่าวว่า ได้รับเชิญมารับทราบความคืบหน้าจาก ดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม ในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในพื้นที่สมุทรสาครและอุทัยธานี ซี่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ที่หัวใจสำคัญ คือเดินหน้าปราบปราม อาชญากรามไซเบอร์ อาชญากรรมดิจิตอล สแกมเมอร์ และการกระทำผิดออนไลน์ โดยรัฐบาลให้ความมั่นใจว่าจะดำเนินการอย่างเข้มงวดจริงจังกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จะตรวจสอบเส้นทางการเงิน การฟอกเงิน ยึดอายัดทรัพย์สินที่กระทำผิดรวมถึงบัญชีม้า ทำให้เห็นไอเดียเพิ่มขึ้นมากมายที่รัฐบาลต้องแก้ไข โดยได้เห็นอาชญากรรมอีกรูปแบบ กลุ่มจีนเทาหรือสัญชาติพม่า ที่เราไม่ต้องการให้อยู่ในไทย นอกจากทำธุรกิจผิดกฏหมายแล้ว ยัง อุกอาจลักลอบ ขโมยกระแสไฟฟ้าใช้ ทำให้รัฐสูญเสียพลังงาน สูงมาก รัฐบาลจึงต้องใช้ทุกหน่วยงานสืบสวนปราบปราม เพื่อจัดการเรื่องนี้ ซึ่งจะปกป้องเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นให้ประเทศไทย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะได้ให้การไฟฟ้าภูมิภาค ดำเนินการตรวจสอบเรื่องลักลอบใช้ไฟฟ้าด้วย

ด้านอธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการจับกุมครั้งนี้ว่าสืบเนื่อง จากเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 ดีเอสไอและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน “Operation Copperhead”ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 6 จุด และจังหวัดอุทัยธานี จำนวน 1 จุด รวมจำนวน 7 จุด ประกอบด้วยโกดัง 4 จุด และบ้านพัก 3 จุด ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึด/อายัดเครื่องชุดบิดคอยที่จากโกดัง รวมทั้งสิ้น 3,642 เครื่อง ประมาณ 270 ล้านบาท มูลค่าระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ 30 ล้านบาท ประเมินมูลค่าของอุปกรณ์ทุนตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์เถื่อนทั้งระบบรวม 4 จุด มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนใหญ่ซุกช่อนบิตคอยท์ไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ ที่ถูกดัดแปลงด้วยนวัตกรรมใหม่ในการเก็บเสียง และใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบการลักลอบใช้ไฟฟ้า

จากการขยายผลการสืบสวนพบว่าผู้บงการรายใหญ่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม “จีนเทา” เครือข่ายในพม่า ซึ่งโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติตรวจพบเส้นทางการเงินและผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกันเป็นเครือข่ายอย่างชัดเจน ดำเนินการกว่า 3 ปี ทำให้รัฐสูญรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อขยายผลเกี่ยวกับเส้นทางการฟอกเงินและการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง โดยเตรียมประสานความร่วมมือกับประเทศผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงทางการของจีน ซึ่งมีการหารือร่วมกันเบื้องต้นแล้ว เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีและสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ตรวจพบ คาดว่ามีเงินหมุนเวียนภายในเครือข่ายมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเส้นทางการเงินบางส่วนโยงเข้าสู่ระบบสินทรัพย์ดิจิตอล ประเภทบิตคอยน์ ทำให้เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้ให้กับกลุ่มจีนเทาและเครือข่ายสแกมเมอร์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ (31ม.ค.2568)ดีเอสไอได้ปฏิบัติการ “รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ”(Bitforge Operation) ตรวจยึดเครื่องขุดบิตคอยน์จำนวน 1,788 เครื่อง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และทำการขยายผลสอบ จนพบการลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการชุดบิดคอยในกรณีดังกล่าวจากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอได้ร่วมกันตรวจสอบของกลาง อุปกรณ์ที่ลักลอบใช้ไฟฟ้า ที่ดีเอสไอยึดมาได้จำนวนมาก พร้อมมอบนโยบายให้ดีเอสไอขยายผลปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบนี้ต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าวันนี้ได้มาติดตามคดีสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม ด้วยหรือไม่ ทางนายอนุทิน ระบุว่า ตนได้มอบหมาย พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม เป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งได้ให้นโยบายไปแล้ว โดยยึดนโยบาย “ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม” คือ ทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ดูพฤติกรรมถ้าผิดก็เปิดชื่อมา เจอใครก็คนนั้นแหละ ดูสำนวนการกระทำความผิด ไม่ต้องสนใจว่าเขาชื่ออะไร ตำแหน่งอะไร หรือจะเป็นนักการเมืองก็ตาม ส่วนสำนวนคดี ฮั้ว สว. และ คดีเขากระโดง ก็ไม่ได้ติดตามเพราะทุกอย่างเป็นตามกระบวนการ
เมื่อถามว่าส่วนประเด็นเรือนจำ “คุกวีไอพี” มีติดตามความคืบหน้าอย่างไรบ้าง นายอนุทิน กล่าวว่า “ทาง รมว.ยุติธรรม ได้ดำเนินการแล้ว อะไรที่มันอุกอาจ ท่านไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมคนเพื่อนน้อย และไม่มีหนี้ที่ต้องไปใช้ตอบแทนอะไรใคร
ส่วนกรณี นายมานพ ชมชื่น อดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ยื่นคำร้อง ป.ป.ช. ตรวจสอบผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ซึ่งรายละเอียดต้องสอบถาม รมว.ยุติธรรม นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ในส่วนนโยบายเรื่องการปฏิรูปการทำงานของกรมราชทัณฑ์ได้ให้ไปหมดแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย และ รมว.ยุติธรรม กำลังดำเนินการอยู่ ในประเทศไทยไม่มีใครมีอำนาจเหนือกฎหมายได้ และไม่จำเป็นต้องสั่งการอธิบดีหรือใคร เพราะเขารู้อยู่แล้ว ยึดถือหลักอยู่แล้ว

